ไม่มาถือว่าพลาด! พาปักหมุดแลนด์มาร์คใหม่ จ.เลย “หุ่นฟางยักษ์”

เลย…อีกหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวของภาคอีสานที่มีความโดดเด่นในเรื่องความเป็นธรรมชาติ และวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ที่ขาดไม่ได้เลยคือแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตอย่าง “ภู” ทั้ง ภูเรือ ภูกระดึง เชียงคาน ภูบ่อบิด ฯลฯ ที่ใครมาแล้วต้องห้ามพลาด เพราะเหมือนมาไม่ถึง! แต่คราวนี้ต่างออกไปเพราะเราจะพาไปท่องเที่ยวแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของ จ.เลย ที่เปิดมาตั้งแต่ต้นปี (แต่เพิ่งจะมาเขียนให้ได้อ่าน ฮ่าาา) และจะตั้งให้ชมราวๆ 3-4 เดือนเท่านั้น..

แลนด์มาร์คใหม่นี้คือ…”หุ่นฟางนาอ้อ” ประติมากรรมหุ่นฟางกลางทุ่งนาจากเรื่องเล่าในตำนานของเมืองเลย โดยนำวัสดุเหลือทิ้งอย่างฟาง และตอซังข้าว หลังจากที่เดิมจะนำสิ่งเหล่านี้ไปเผาทิ้งทำให้เกิดปัญหาด้านมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม มาสร้างมูลค่าดึงดูดนักท่องเที่ยว

ทางอพท. ททท. ชาวชุมชนนาอ้อ รวมทั้งเอกชนอื่นจึงริเริ่มจัดทำหุ่งฟางนี้ขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน…สำหรับกประติมากรรมหุ่นฟางนาอ้อนี้มีทั้งหมด จำนวน 6 ตัว ประกอบด้วย ช้าง ปลาแม่น้ำโขง หุ่นฟางชาวชุมชนนาอ้อ น้องพาเพลิน (mascot ของ อพท.) ค่างแว่นถิ่นเหนือแห่งวัดถ้ำผาปู่ และพญานาค

ไฮไลท์อยู่ที่เจ้าหุ่นฟาง 2 ตัวในทั้งหมดนี้ สามารถขยับได้ด้วยนะเออ…ส่วนจะเป็นตัวไหนต้องมาดูเอาเอง ไม่งั้นจะหาว่าโม้เอาได้ ใครที่จะตามมาปักหมุดที่นี้ก็ไม่ยาก เพราะหุ่นฟางนาอ้อ ตั้งยอยู่ที่ชุมชนนาอ้อ ม.7 ต.นาอ้อ อ.เมือง ห่างจากสนามบินเลยราว 15 กิโลฯ อยู่ระหว่างเส้นทางที่จะไปยังเชียงคาน โดยสามารถจ้างรถให้ส่งได้ที่วัดศรีชมชื่น จากนั้นมีบริการรถซาเล้งรับ-ส่งไปยังแลนด์มาร์คแห่งใหม่นี้ คิดค่าเสียหายคนละ 10 บาทเท่านั้น

หรือหากใครชมหุ่นฟางนาอ้อแล้วยังไม่จุใจ ก็สามารถจ้างพี่ซาเล้งให้พาเที่ยวชุมชนนาอ้อได้ (ค่าเสียหายประมาณคนละ30-40 บาท) ไม่ว่าจะเป็นวัดศรีจันทร์ ที่มีพิพิธภัณฑ์ชุมชนซึ่งเก็บรวบรวมโบราณวัตถุล้ำค่ามากมาย โดยมีไฮไลท์อยู่ที่”ส้วมฝรั่งเศส”…ส่วนจะหน้าตาเป็นแบบไหนขอแนะนำให้มาดูด้วยตัวเอง

และยังมีศาลเจ้าปู่คำแดง ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวนาอ้อเคารพนับถือ ผู้ที่ดูแลศาลเจ้าปู่คำแดงเล่าให้ฟังว่า คนในพื้นที่ หรือชาวจังหวัดเลยในพื้นที่อื่นนิยมมาขอพร ขอเลื่อนตำแหน่ง เปลี่ยนอาชีพกันที่นี้ โดยเคล็ดลับคือจะต้องพกรูปถ่ายมาด้วย จากนั้นให้ขออธิฐานแล้วนำรูปไปแปะไว้ที่ข้างฝา พร้อมกับระบุชื่อ ตำแห่ง หรืออาชีพที่ต้องการลงไปด้วย…ได้ไปเห็นกับตาตัวเองข้างฝามีทั้งนายตำรวจ นายทหารยศใหญ่แปะอยู่จริงๆ (ไว้คราวหน้ามาจะลองขอบ้าง เพราะคราวนี้พลาดไม่ได้พกรูปถ่ายติดตัวไปด้วย)

…ลองมาเที่ยวจ.เลย ที่ชุมชนนาอ้อ ดูสักครั้งแล้วคุณจะต้องตกหลุมรักอย่างแน่นอน ความคืบหน้ากรณีขยะเศษขวด-แก้วพลาสติก ถูกคลื่นซัดเกลื่อนหาดก้นอ่าว หมู่ 1 ต.เพ อ.เมืองระยอง โดยนายประยูร พงศ์พันธ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ต.เพ นำกำลังเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ทำความสะอาดเก็บขยะพลาสติกบริเวณชายหาดโค้งบ้านก้นอ่าวแล้ว

อย่างไรก็ตามเมื่อเดินทางไปตรวจสอบบริเวณชายหาดแม่รำพึง ต.ตะพง อ.เมืองระยอง ตั้งแต่กลุ่มประมงบางกะเฌอ ปากคั่น หินดำ หินขาว ระยะทาง 12 กิโลเมตร พบขยะจำนวนมากเกลื่อนชายหาดยาว 12 กิโลเมตร และพบกองขยะยังลอยในทะเล ห่างจากฝั่งเล็กน้อยอีกจำนวนมาก

ร้านค้าชายหาดบริเวณชุมชนปากคั่น กล่าวว่า ตั้งแต่ค้าขายอยู่ชายหาดแม่รำพึงมานาน ไม่เคยเห็นขยะมากมายขนาดนี้ ขยะดังกล่าวถูกคลื่นซัดเข้าชายฝั่งตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา เจ้าของร้านค้าชายหาดก็ช่วยเก็บกวาดขยะ ขุดหลุมกลบบริเวณชายฝั่ง เพราะกวาดเอามากองไว้ก็ไม่มีหน่วยงานมาเก็บก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องขุดหลุมฝังกลบ พอรุ่งเช้าน้ำขึ้นเต็มฝั่ง ขยะก็เต็มชายหาดอีกเป็นอย่างนี้มา 3 วันแล้ว

เจ้าของร้านค้าชายหาดรายหนึ่ง กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงลมมรสุมพัดเข้าหาฝั่ง จะพัดพาเอาขยะจากทะเลที่ลอยมาจากจังหวัดต่างๆ มารวมกัน พัดเข้าฝั่งบริเวณชายหาดแม่รำพึง จะเป็นอย่างนี้เกือบทุกปี แต่ปีนี้ขยะมีจำนวนมากกว่าทุกปี และขอชี้แจงว่าขยะดังกล่าวเป็นขยะจากที่อื่นถูกคลื่นลมพัดเข้าหาดแม่รำพึง ไม่ใช่ขยะจากร้านค้าชายหาดแม่รำพึง เพราะเจ้าของร้านค้าหาดแม่รำพึง ตลอดแนวชายหาดจะช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดชายหาด ทุกวันพฤหัสบดี ส่วนร้านค้าตั้งแต่หินขาวไปจนถึงโค้งก้นอ่าว ต.เพ จะช่วยกันทำความสะอาดชายหาดทุกวันพุธ

ด้านนายประยูร พงศ์พันธ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด กล่าวว่า ช่วยประชาสัมพันธ์แจ้งสื่อต่างๆ ด้วยว่าเจ้าหน้าที่อุทยานฯร่วมกับเทศบาล ต.บ้านเพ และองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)ตะพง ดำเนินการเก็บกวาดทำความสะอาดชายหาดแม่รำพึงตลอดระยะทาง 12 กม. คือวันพุธ ร้านค้าชายหาดที่อยู่ในเขตของเทศบาลต.บ้านเพ จะเก็บกวาดทำความสะอาดชายหาด ส่วนร้านค้า เขต อบต.ตะพง จะเก็บกวาดทำความสะอาดชายหาดในวันพฤหัสบดี แต่ที่เกิดเหตุการณ์ขยะจำนวนมากอยู่ในทะเลถูกคลื่นลมพัดเข้าฝั่งชายหาดแม่รำพึงจำนวนมาก จนเก็บกวาดไม่ทัน ขยะที่มาจากทะเลดังกล่าวมันมาจากที่อื่น ไม่ใช่ขยะของจังหวัดระยอง ถ้าทำได้จะเอาตาข่ายไปขึงกลางทะเล กันขยะจากที่อื่นไม่ให้เข้าหาดแม่รำพึง

จากกรณี พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ที่ฆ่าตัวตาย โดยสาเหตุหนึ่งมาจากป่วยเป็นโรคซึมเศร้านั้น สะท้อนให้เห็นว่า นอกจากปัญหาสุขภาพกายที่ผู้สูงอายุต้องประสบแล้ว อีกหนึ่งปัญหาที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “ปัญหาสุขภาพทางใจ” ซึ่งปัจจุบันเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากขึ้น

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดที่คาดไม่ถึงขึ้น รศ.ดร.สายพิณ ไชยนันทน์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม (STC) ได้อธิบายถึงสาเหตุปัญหาของสุขภาพใจของผู้สูงอายุดังนี้

1.ผู้สูงอายุมีความวิตกกังวล กลัวว่าจะต้องพึ่งลูกหลาน โดยแสดงออกในลักษณะขาดความเชื่อมั่น นอนไม่หลับ กลัวถูกทอดทิ้ง ฯลฯ ทำให้เกิดภาวะไม่สบายใจและกาย เช่น ใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม ทำให้อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ฯลฯ โดยแนวทางแก้คือการเปลี่ยนความคิดของตนเอง พยายามมองในแง่ความเป็นจริงมากกว่าคิดไปล่วงหน้า

2.การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุบางคนเป็นโรคซึมเศร้า เพราะวัยสูงอายุจะพบความสูญเสียได้บ่อย นอกจากนี้ยังมีอาการหงุดหงิด ระแวง เอาแต่ใจตนเอง ฯลฯ ดังนั้น ลูกหลานจะต้องแก้ไขด้วยการพบปะ พูดคุย และเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้สูงอายุ หางานหรือกิจกรรมให้ทำ อย่าปล่อยให้อยู่คนเดียว

3.การเปลี่ยนแปลงทางความคิด ผู้สูงอายุมักจะคิดซ้ำซาก ลังเล ระแวง หมกมุ่นเรื่องของตัวเองและเรื่องในอดีตและคิดถึงปัจจุบันด้วยความหวาดกลัว กลัวถูกทอดทิ้ง กลัวถูกเขารังเกียจ

4.การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม ผู้สูงอายุมักเอาแต่ใจตัวเอง จู้จี้ ขี้บ่น อยู่ไม่สุข ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น หรืออาจมีปัญหาทางเพศ ในสังคมไทยมักไม่พูดถึงเรื่องเพศ ความเป็นจริงผู้สูงอายุเพศชายมีความต้องการทางเพศอยู่ตลอดเวลา แต่ในเพศหญิงอาจไม่พบว่ามีความต้องการทางเพศ ทำให้เกิดปัญหาขึ้นระหว่างคู่สมรส แนวทางแก้ไขปัญหาคือ การเข้าพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษา

5.การเปลี่ยนแปลงของความจำ ผู้สูงอายุมักจำปัจจุบันไม่ค่อยได้และชอบย้ำคำถามซ้ำๆ บางรายจำผิดพลาด เป็นภาวะที่เรียกว่าสมองเสื่อม แต่ถ้าไม่รบกวนชีวิตประจำวันถือว่าไม่ผิดปกติ แต่ในผู้สูงอายุที่มีโรคสมองเสื่อม การสูญเสียความจำจะรุนแรงมาก จนมีผลในชีวิตประจำวัน ต้องพบแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษา นอกจากนี้ ต้องใช้สมุดบันทึกช่วยจำ จัดสิ่งของให้เป็นระเบียบ และลูกหลานต้องพร้อมเข้าใจและให้ความช่วยเหลือ

เพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพใจที่ดี รศ.ดร.สายพิณแนะว่า สมาชิกในครอบครัวและสังคมพึงปฏิบัติต่อผู้สูงอายุดังนี้ 1.ต้องทำให้ให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนยังมีคุณค่า มีความสำคัญ และมีความหวังในชีวิต เช่น ขอคำปรึกษาแนะนำต่างๆ ขอความช่วยเหลือให้ควบคุมดูแลบ้าน และเป็นที่ปรึกษาการเลี้ยงดูบุตร

2.ระมัดระวังคำพูดหรือการกระทำที่แสดงออกต่อผู้สูงอายุ และพยายามให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุด้วยการกล่าวทักทายก่อน เชิญรับประทานอาหารก่อน

3.ชักชวนพูดคุยและรับฟังถึงส่วนดีหรือเหตุการณ์ประทับใจในอดีตของผู้สูงอายุด้วยความจริงใจ เพื่อทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่ายังมีคนชื่นชมในชีวิตของตนอยู่

4.ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุทำกิจกรรมที่สนใจต่างๆ ตามความเหมาะสม เช่น ไปวัดทำบุญฟังเทศนา

แทบทุกคนคงเคยกินไข่ตุ๋นนะครับ มันเป็นกับข้าวที่ทำง่ายมาก แค่มีอุปกรณ์คือลังถึง หรือหม้อไฟฟ้าแบบมีซึ้งให้ด้วย ก็ทำได้แล้ว แถมปัจจุบันนี้ถ้าจะทำกับเตาไมโครเวฟก็มีวิธีสอนให้ทำได้สะดวกรวดเร็ว ยังไม่นับว่า สมัยก่อนบ้านไหนไม่มีลังถึง ก็สามารถใช้กระทะนี่แหละครับ ใส่น้ำตั้งไฟเตาถ่าน แล้วเอาชามคว่ำตั้งหนุนชามไข่ ครอบฝาปิดกระทะรมไอน้ำร้อนๆ ไปจนกระทั่งไข่สุก กินได้แทบไม่ต่างกันเลย

จำได้ว่าราวยี่สิบกว่าปีก่อน ร้านอาหารแถวย่านปากบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี บ้านเกิดผม เกิดมีเมนูยอดฮิต คือ “ไข่ตุ๋นทรงเครื่อง” ที่ไม่ได้ใช้วิธีตุ๋น แต่เอาส่วนผสมทั้งหมดใส่หม้อที่ใช้ทำกุ้งอบวุ้นเส้น ตั้งไฟเตาแก๊สที่เปิดไว้ค่อนข้างแรง เพียงครู่เดียว ไข่จะสุกนุ่มที่ส่วนในสุด มีน้ำชุ่มออกมาตรงชั้นนอก แล้วบริเวณขอบๆ หม้อก็จะกรอบไฟหน่อย เรียกว่ามีไข่สามลักษณะในหม้อเดียว เป็นที่นิยมกันมากในสมัยนั้น

ถ้าหากใครเคยกินไข่ตุ๋นตามร้านอาหารญี่ปุ่น จะได้กินไข่ถ้วยเล็กๆ เนื้อเนียนนุ่ม กลิ่นรสซอสโชหยุและซุปดาชิแบบญี่ปุ่นนำเด่นเป็นเอกลักษณ์ ส่วนไข่ตุ๋นที่คนไทยทำขายทั้งตามร้านอาหารใหญ่ๆ หรือร้านข้าวแกง ส่วนใหญ่จะเนื้อหยาบๆ ย่นๆ มีฟองอากาศพรุน ซึ่งคนทำมักออกตัวว่า ไม่ได้กรองเนื้อไข่ดิบด้วยกระชอนตาถี่แบบสูตรญี่ปุ่น กับทั้งไม่ได้ผสมน้ำแป้งเล็กน้อยแบบสูตรจีนบางสูตร

ผมขอสารภาพว่า เดี๋ยวนี้แทบไม่สามารถกินไข่ตุ๋นที่ขายตามร้านอาหารไทยทั่วไปได้ เพราะเกือบทั้งหมดปรุงรสไข่ของตนอย่างดุเดือดด้วยซอสปรุงรส ผงปรุงรส และผงชูรส จนเมื่อกินแล้วพลอยรู้สึก “หนัก” ทั้งหนักใจและหนักลิ้นครับ แน่นอนว่าคนที่ชอบไข่ตุ๋นรสแบบนั้นย่อมมีแน่ แต่ในเมื่อผมเลิกกินผงชูรส แถมยังปรารถนาการปรุงแต่งรสชาติวัตถุดิบให้น้อยที่สุด จึงได้ทดลองทำไข่ตุ๋นแบบที่ชอบจนได้ที่ อยู่ตัว แล้วเลยอยากเอามาเล่าให้ฟังน่ะครับ

ต้องบอกก่อนว่า สูตรนี้คือการเสพรสชาติ “ไข่” จริงๆ ครับ จึงไม่ใส่เครื่องปรุงรสอื่นใดนอกจากน้ำปลา ซึ่งผมก็ยังจะเลือกเอาแบบที่หวานน้อย เช่น น้ำปลาปลาสร้อยหลากหลายยี่ห้อจากโรงงานในเขตอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย

เริ่มด้วยการตั้งน้ำเยอะๆ ในลังถึง (เพื่อที่ตอนท้ายจะสามารถหรี่ให้ “เดือดเบา” ได้มากที่สุด) ใช้ไฟแรงก่อนนะครับ เพื่อเร่งให้เดือด

ตอกไข่ไก่ 2 ใบลงในชามเคลือบ ตีจนขึ้นฟู ปกติผมมักไม่ได้เคร่งครัดอัตราส่วนการปรุงกับข้าวนัก แต่คราวนี้อยากให้ลองดูครับ ด้วยการตวงน้ำใส่เปลือกไข่ครึ่งใบ (หนึ่งซีก) ในสัดส่วนน้ำ : ไข่ เท่ากับ 2 : 1 พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าใช้ไข่ไก่ 1 ใบ ก็ตวงน้ำ 4 ซีกเปลือกพอดีๆ

ไข่ไก่ 2 ใบ ใช้น้ำ 8 ซีกเปลือกครับ ค่อยๆ ตีให้เข้ากันเบาๆ ในชาม แล้วเติมน้ำปลา? ซีกเปลือกไข่..แหม วันนี้ดูเป๊ะๆ ยังไงชอบกล

ถ้าชอบกลิ่นหอมแดง หรือต้นหอม ก็ซอยใส่ไปสักหน่อยได้

ตอนนี้ น้ำในลังถึงบนเตาคงเดือดพล่านแล้วนะครับ จงหรี่ไฟให้อ่อนที่สุด เปิดฝา วางชามไข่ของเราลงไป ปิดฝา นับเวลาไปอีก 15 นาทีครับ ระหว่างนี้ก็ไปเตรียมสำรับอะไรอื่นให้เรียบร้อยพร้อมพรัก

เปิดฝาลังถึงตามเวลา จะได้ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนกริบ ไร้ฟองอากาศ นิ่มจนเต้าหู้ไข่ที่ว่าเนื้อเนียนๆ ยังต้องยกธงยอมแพ้ ถ้าเลยเวลาไปสักนิด ไข่ตรงขอบชามจะพองๆ หน่อย แต่ส่วนอื่นยังเนียนเหมือนเดิม หากเลยไปมาก เนื้อไข่ทั้งชามจะโพรกๆ มีฟองอากาศแยะๆ ทีนี้ก็รู้แล้วนะครับ ว่าหากอยากได้เนื้อไข่แบบไหน จะต้องทอดเวลาไปยังไง

เมื่อจะกิน โรยพริกไทยดำบดใหม่ๆ สักหน่อย ถ้าชอบกระเทียมเจียว ตักหยอดสักหนึ่งช้อนโต๊ะ

สูตรมาตรฐานที่สุดของผมนี้ สามารถพลิกแพลงเติมอะไรอื่นไปได้อีกมากครับ เช่น กุ้งแห้งป่น กะปิละลายน้ำ ซีอิ๊วขาว หรือกระทั่งเนื้อปลาอินทรีเค็มบด ลองลงมือทำ สังเกตผลของการเพิ่ม-ลดเครื่องปรุงรสเค็ม รวมถึงทดลองเปลี่ยนเนื้อภาชนะที่ใช้ ตลอดจนวิธีการให้ความร้อน ฯลฯ ก็ย่อมจะได้สูตรไข่ตุ๋นเฉพาะตัวใหม่ๆ อย่างชนิดไม่รู้จบ

การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ผู้คนต้องเผชิญกับสารพัดมลพิษจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ และฝุ่นละอองขนาดจิ๋วที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าจำนวนมหาศาล แม้กระทั่งในห้องโดยสารรถยนต์ ซึ่งเป็นแหล่งสะสมมลพิษที่คาดไม่ถึง เพราะในห้องโดยสารมีมลพิษสูงกว่าภายนอกรถถึง 15 เท่า เพราะขณะที่ขับรถผ่านพื้นที่ต่างๆ นั้น ฝุ่นควันต่างๆ จะเล็ดลอดเข้ามาภายในห้องโดยสารผ่านช่องต่างๆ ได้

ซึ่งนี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไทยต้องเผชิญกับโรคต่างๆ โดยเฉพาะ “ภูมิแพ้” ที่คาดการณ์ว่ามีผู้ป่วยมากกว่า 18 ล้านคน ผศ.ดร.นพ.อธิป นิลแก้ว แพทย์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยา จากศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า การรับเอาฝุ่น รวมทั้งละอองเกสรพืช แบคทีเรีย รวมถึงสารจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงรถยนต์จากการหายใจนั้น จะทำให้ไอ จาม หายใจลำบาก ระคายเคืองตาและจมูก

จนไปถึงน้ำมูกน้ำตาไหล ง่วงซึม แน่นหน้าอก ระบบทางเดินหายใจผิดปกติ และเป็นภูมิแพ้ ซึ่งเป็นอาการแบบเดียวกับโรค Sick Car Syndrome โดยพบได้ทั้งโรคหืด รวมถึงเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างไซนัส หูชั้นกลางอักเสบ ริดสีดวงจมูกได้ ซึ่งจะกระทบต่อคุณภาพชีวิตเมื่อมีความสามารถในการหายใจยามหลับลดลง ในระยะยาวยังรุนแรงขึ้นถึงขนาดลดความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ มะเร็งโพรงจมูก และมะเร็งปอดด้วย

นางรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำว่า นอกจากจะเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองด้วยการทำความสะอาดห้องโดยสารสม่ำเสมอแล้ว ต้องใส่ใจมากขึ้นทั้งการกำจัดกลิ่นอับ หมั่นดูดฝุ่นเบาะ รวมทั้งติดตั้งเครื่องกรองอากาศในรถยนต์ที่สามารถดักจับไวรัส แบคทีเรีย มลพิษต่างๆ ก็จะช่วยกรองอากาศได้มาก ซึ่งในยุคนี้มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ ช่วยควบคุมด้วยระบบเซ็นเซอร์ และตรวจจับสารปนเปื้อนโดยอัตโนมัติ

เมื่อครั้งพล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และครม. ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการบริหารงานตามนโยบายรัฐบาล ที่ อ.คำม่วง และ อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ ช่วงเดือนธ.ค. 2560 โดยประชุมทุกภาคส่วน ร่วมขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับชาวเมืองนี้ หลังจากสภาพัฒน์ได้จัดอันดับ “จังหวัดกาฬสินธุ์ จนอันดับ 75 ของประเทศ”

ต่อมา พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ นายกฤษฎา บุญราช รมว.กระทรวงเกษตรฯ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวฯ พร้อมภาครัฐและภาคเอกชน มาประชุมหารือ ร่วมในการขับเคลื่อนโครงการ กาฬสินธุ์แฮปปี้เนส โมเดล 2019 “คนกาฬสินธุ์ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ตามข้อสั่งการของนายกฯ

ขบวนการแก้จน จ.กาฬสินธุ์ จึงได้เกิดขึ้น โดยมีการ kick off ไปเมื่อวันที่ 11 ม.ค. ด้วยการบูรณาการงบประมาณและกลไกประชารัฐ มีเป้าหมายรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10% คือปี 2561 จากรายได้ 51,147 บาท/คน/ปี เป็น 54,727 บาท/คน/ปี หรือเพิ่มขึ้น 7% และปี 2562 จากรายได้ 51,147 บาท/คน/ปี เป็น 56,261 บาท/คน/ปีหรือเพิ่มขึ้นเป็น 10%

นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า จ.กาฬสินธุ์เป็นสังคมเกษตรกรรม แนวทางแก้ไขปัญหาความยากจน จึงมุ่งเน้นไปที่ส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรม ผักปลอดสารพิษ เพื่อให้เกิดอาชีพและรายได้อย่างยั่งยืน โดยมีบ.ประชารัฐรักสามัคคีกาฬสินธุ์ (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ร่วมขับเคลื่อน

จ.กาฬสินธุ์ มีพื้นที่ 6,946.75 ตร.ก.ม.หรือ 4.3 ล้านไร่ 18 อำเภอ 135 ตำบล 1,584 หมู่บ้าน ประชากรประมาณ 9 แสนคนเศษ พื้นที่การเกษตร 2,701,256 ไร่ หรือ 62.2% ของพื้นที่ทั้งหมด พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา

ขณะที่สัตว์เศรษฐกิจคือ กุ้งก้ามกราม ปลานิล โคเนื้อ สุกรและไก่ มีโรงงานในพื้นที่รวม 564 แห่ง มีผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ขึ้นชื่อได้แก่ ผ้าไหมแพรวา ชุดผู้ไท ไหมมัดหมี่ เครื่องจักสาน ส่วนด้านการท่องเที่ยวนั้น ที่สำคัญคือพิพิธภัณฑ์สิรินธร เมืองฟ้าแดด สงยาง พระธาตุยาคู สะพานเทพสุดา เขื่อน ลำปาวปี 2560 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวใน จ.กาฬสินธุ์ทั้งปีเพียง 562,760 คน

นายไกรสรกล่าวอีกว่า จะเห็นได้ว่า จ.กาฬสินธุ์มี “ของดี” หลากหลายรูปแบบ แต่การพัฒนา เพื่อให้มีการยกระดับและเชื่อมโยงเศรษฐกิจการท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดรายได้มวลรวมยังขาดความต่อเนื่อง ถือเป็นจุดอ่อนที่ฉุดให้เกิดความยากจน ที่คณะทำงานจะต้องเร่งวางแผนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ และเติมเต็มส่วนที่บกพร่องต่อไป รูปแบบการแก้ปัญหาระยะแรกภายใน 2 ปี จะดำเนินการตามองค์ประกอบหลัก 4 อย่าง คือ อย่างแรกค้นหาครัวเรือนยากจน อย่างที่ 2 เป็นกลไกการขับเคลื่อน ตั้งแต่ระดับจังหวัด ถึงหมู่บ้าน อย่างที่ 3 เป็นกิจกรรมการขับเคลื่อน เช่น วิเคราะห์ข้อมูลครัวเรือนเพื่อจำแนกสถานะ และอย่างที่ 4 คือการติดตามและประเมินผลจากคณะทำงานระดับต่างๆ โดยจะมอบรางวัลเชิดชูเกียรติสำหรับครัวเรือน กลุ่มอาชีพ ชุมชนที่ประสบความสำเร็จด้วย

ในส่วนภาคการเกษตรเน้นส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ และส่งเสริมตลาด ทั้งในระดับภูมิภาค ต่างประเทศ และระบบออนไลน์ จะพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ขณะที่ทางด้านอุตสาหกรรมก็จะส่งเสริมอุตสาหกรรมการแปรรูปครบวงจร เพื่อให้มีการดึงดูดและ ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ให้มากขึ้น

ด้านการท่องเที่ยว จะพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและธุรกิจร่วมกับภาคเอกชน เช่น ไดโน เสาร์ เวิร์ลด์ เพื่อเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว จะมีการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัด ส่วนด้านศิลปวัฒนธรรม จะพัฒนาตลาดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแบบครบวงจร และจะมีศูนย์ดิจิตอลชุมชน

ทั้งนี้สิ่งที่ถือเป็นอัตลักษณ์สำคัญอีกประการหนึ่งคือวัฒนธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมชาวผู้ไท ต้นตำรับแหล่งผลิต ผ้าไหมแพรวา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งไหม โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับไว้ในพระราชินูปถัมภ์ ตั้งแต่ปี 2521 ซึ่งมีการพัฒนาต่อยอด และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มร้อยแก่นสารสินธุ์ สร้างรายได้ให้กับกลุ่มผู้ผลิตปีละ 50 ล้านบาท

อีกหนึ่งในกระบวนการแก้จน คือการสร้างความปรองดองในสังคม ถือเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการสร้างสุข ด้วยการร่วมแรง ร่วมใจสร้างบ้าน และมอบเครื่องยังชีพให้กับครอบครัวยากจน โดยงบประมาณได้มาจากสายธารน้ำใจหลายภาคส่วน

ขบวนการแก้จนภายใต้การนำของ นายไกรสร กำลังเดินหน้าอย่างเต็มรูปแบบ คงต้องติดตามกันต่อไปว่าดัชนีความจน ของชาว จ.กาฬสินธุ์ ที่เคยอยู่ระดับรั้งท้ายอันดับที่ 75 ของประเทศจะไต่อันดับดีขึ้นหรือไม่ และชาวกาฬสินธุ์จะแฮปปี้กันมากน้อยแค่ไหน

นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังยื่นหนังสือที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์พยายามขอเข้าพบ รมว. พาณิชย์ หลายครั้ง เพื่ออธิบายถึงความเดือดร้อนของเกษตรกร แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด จนทนไม่ไหว จำเป็นต้องยกขบวนมาขอความช่วยเหลือจากนายกรัฐมนตรี โดยสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย สมาคมผู้เลี้ยงไก่เนื้อ สมาคมผู้เลี้ยงไก่พันธุ์ สมาคมผู้ผลิตผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่ สมาคมผู้เลี้ยงเป็ดเพื่อการค้าและการส่งออก สมาคมปศุสัตว์ไทย พร้อมเกษตรกรภาคปศุสัตว์ร่วม 100 คน เดินขบวนเข้ายื่นหนังสือถึงนายกฯ วอนยกเลิกมาตรการต้องรับซื้อข้าวโพด 3 ส่วน ต่อการนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน เหตุเป็นมาตรการเอื้อประโยชน์คนบางกลุ่มซึ่งไม่ใช่เกษตรกร จนส่งผลกระทบถึงต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ ทำให้เกษตรกรประสบภาวะขาดทุน จำต้องลดจำนวนการเลี้ยงสัตว์ไปแล้วเป็นจำนวนมาก

“เกษตรกรคนเลี้ยงสัตว์ ต้องเดือดร้อนจากราคาข้าวโพดที่สูงมากจนนำไปสู่ภาวะขาดทุน และต้องลดจำนวนการเลี้ยงลงเป็นจำนวนมาก ขณะที่วันก่อน รมว.พาณิชย์ ออกข่าวแถลงผลงานด้วยความปลาบปลื้มที่ทำราคาข้าวโพดสูงถึงกิโลกรัม (ก.ก.) ละเกือบ 10 บาท แล้วคนที่ต้องซื้อข้าวโพดอย่างพวกผมล่ะครับ ท่านคิดจะช่วยเหลือบ้างหรือไม่ การบ่ายเบี่ยงไม่ให้ผมเข้าพบ แต่กับกลุ่มนายทุนพืชไร่ได้พบปะเจรจากันถึง 3 ครั้ง นั้นหมายความว่าอย่างไร ท่านลำเอียงใช่หรือไม่ แก้ปัญหาจุดหนึ่งแต่ปัญหาไปโผล่อีกจุดหนึ่งใช่หรือไม่ แต่ยังกล้านำมาแถลงเป็นผลงานเช่นนี้ พวกผมคงพึ่งพาท่านไม่ได้แล้ว จึงจำเป็นต้องมาหาท่านนายกประยุทธ์กันในวันนี้”