แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถปลูกและส่งออกมะม่วงได้มากมายหลายสิบชนิด แต่วันนี้กลับพบว่า ความต้องการบริโภค “มะม่วงแก้ว”เพิ่มขึ้นเท่าตัว และไทยยังผลิตมะม่วงแก้วนอกฤดูได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ นี่คือช่องว่างการตลาดที่ทำให้ “มะม่วงแก้วขมิ้น”จากกัมพูชารุกเข้ามายึดตลาดเมืองไทย
สำหรับมะม่วงแก้วขมิ้น ปลูกมากที่ประเทศกัมพูชา เพราะสภาพดิน อากาศ ปริมาณน้ำฝน ความชื้นเหมาะสม จึงให้ผลดกมาก และยังมีรสชาติหวาน กรอบ อมเปรี้ยวน้อยกว่ามะม่วงแก้วของไทย ลักษณะเนื้อมาก ผลใหญ่ เนื้อมีสีเหลืองสวยงามเหมือนขมิ้น โดยเฉพาะตรงไส้จะเหลืองจัด จึงเป็นที่มาของชื่อมะม่วงแก้วขมิ้น หรือมะม่วงไส้ขมิ้น แต่มีชื่อเป็นทางการว่า “พันธุ์ละเมียด”
ข้อมูลปี 2557 กัมพูชามีเนื้อที่ปลูกทั้งหมด 65,250 เฮกตาร์ หรือประมาณ 391,500 ไร่ ผลผลิตส่งขายไทย 30% และเวียดนาม เกาหลี จีน 70% ปลูกมากใน 8 จังหวัด คือ กัมปงสะปือ (ปลูกมากที่สุด 243,750 ไร่) กัมปงจาม กันดาล ตะแก้ว ตบูงขมุม เสียมเรียบ พระตะบอง และบันเตียเมียนเจย
วันนี้มะม่วงแก้วขมิ้นเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของกัมพูชา ผลผลิตจะเริ่มออกสู่ตลาดในเดือนตุลาคม-พฤษภาคม แต่เว้นระยะหมดรุ่นเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม และผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายในเมืองไทยเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา เพราะมะม่วงไทยขาดตลาด และโรงงานแปรรูปส่งออก มีความต้องการวัตถุดิบจำนวนมาก
อีกทั้งด้วยรสชาติที่ถูกปากคนไทย เนื้อหนา สีเหลืองสวย จึงเป็นที่นิยมบริโภคของคนไทยเป็นอย่างมาก คาดว่ามีมะม่วงแก้วขมิ้นส่งเข้ามาเมืองไทยวันละ 1,000 ตัน
เส้นทางของมะม่วงแก้วขมิ้นส่วนใหญ่มาจากจังหวัดกัมปงสะปือ และเป็นเจ้าของสวนรายใหญ่ปลูกหลายหมื่นไร่ บางรายเกือบแสนไร่ มีผู้รับซื้อเข้าไปซื้อถึงสวนทั้งคนจีน คนไทย กัมพูชา จากนั้นจะขนส่งด้วยรถตู้ รถปิกอัพ รถ 6 ล้อ 10 ล้อมาไทยตามเส้นทางผ่านพนมเปญ ตะแก้ว กำปงชนัง โพธิสัตว์ พระตะบอง และจังหวัดไพลิน ถึงด่านชายแดน บ้านผักกาดและบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รวมระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร
เมื่อถึงด่านบ้านแหลม บริษัทส่งออกของจังหวัดไพลินต้องจัดทำพิธีการศุลกากรผ่านด่านเข้ามาด่านไทย กระจายให้ลูกค้าประจำ สำหรับที่ด่านบ้านผักกาด มีผู้นำเข้ามากเกือบ 20 ราย มีพื้นที่โรงพักสินค้าและคัดเกรด แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ1.มะม่วงตะกร้า แพ็กตะกร้าละ 25-30 กิโลกรัมเพื่อบริโภคผลสด ส่งให้ลูกค้าตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง และทั่วประเทศ
2.มะม่วงโรงงาน ส่วนใหญ่ป้อนให้โรงงานแปรรูปที่จันทบุรี ราชบุรี นครปฐม ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ และทั่วไป โดยแนวโน้มจะส่งขายโรงานแปรรูปเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำไปทำมะม่วงแช่อิ่ม หรืออบแห้งจำหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดจีนมีออร์เดอร์ล่วงหน้ามาแล้ว
ขณะที่ราคามะม่วงในช่วงนี้ต้นทางจากสวนอยู่ที่ 6-7 บาท/กิโลกรัม เมื่อนำมาส่งที่ตลาดชายแดนราคา 12-13 บาท/กก. ส่วนราคาขายปลีกทั่วไปเฉลี่ยกิโลกรัมละ 30-35 บาท และราคารถเข็นขายผลไม้ สามารถทำราคาได้สูงถึงลูกละ 20-25 บาท ส่วนมะม่วงแปรรูปแช่แข็งสร้างมูลค่าเพิ่มได้ไม่ต่ำกว่า 75 บาท/กก.
ใครๆ ก็อยากมีสนามหญ้าสีเขียวๆ ไว้เพิ่มบรรยากาศความสดชื่น และใช้เวลาว่างในช่วงวันหยุด นั่งเล่น นอนเล่น ในสนามหญ้าหน้าบ้านให้เพลิดเพลินใจ แต่การดูแลสนามหญ้าให้เขียวชอุ่มสวยงามตลอดเวลา ก็ต้องคอยแบ่งเวลาดูแล ให้ปุ๋ย ให้น้ำ ต้นหญ้าในสนามอย่างสม่ำเสมอ เมื่อต้นหญ้าเริ่มเขียว ปัญหาที่ตามมาคือ หญ้าจะโต สูงๆ ต่ำๆ ไม่เท่ากัน ตกเป็นภาระหนักของพ่อบ้านหลายรายที่ถูกแม่บ้านชี้นิ้วสั่งให้ตัดหญ้า
หากใครรู้สึกเบื่อ กับการทำงานตัดหญ้า ขอแนะนำให้ลองปลูก “ใบต่างเหรียญ” เป็นไม้สนามแทนต้นหญ้า เพราะประหยัดเวลาในการดูแลสนามหญ้าได้อย่างดี เนื่องจาก ต้นใบต่างเหรียญ จะเจริญเติบโตแนบไปกับดิน ทำให้ประหยัดเวลาและพลังงานในการตัดหญ้า “ใบต่างเหรียญ” เป็นหนึ่งในผลงานวิจัย ในหัวข้อ “จากพืชท้องถิ่น สู่ไม้ประดับ” ของกรมวิชาการเกษตร ที่เผยแพร่สู่สาธารณชน มาตั้งแต่ ปี 2556 เพื่อให้คนไทยรู้จักและใช้ประโยชน์ของพืชท้องถิ่นในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น
“ใบต่างเหรียญ” เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ อายุหลายปี ลำต้นทอดเลื้อยตามผิวดิน มีรากตามข้อ ทำให้ยึดเกาะดินได้ดี ใบเดี่ยวรูปไข่หรือเกือบกลม ขอบเรียบ ดอกสีขาว ออกตามซอกใบตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด หรือแบ่งจากต้นเดิม ทนแล้งได้ดี เป็นพืชที่พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ลักษณะเด่นของ “ใบต่างเหรียญ” คือเจริญเติบโตเต็มพื้นที่ ใบจะช่วยปกป้องไม่ให้น้ำฝนปะทะผิวดินโดยตรง ป้องกันการชะล้างหน้าดินได้ดี ใบไม่ช้ำ หรือเละเมื่อถูกเหยียบย่ำ
หากใครเบื่อดูแลสนามหญ้า ก็อยากเชิญชวนให้หันมาปลูกใบต่างเหรียญแทน เพื่อประหยัดเวลาในการดูแลสนามหญ้า และร่วมอนุรักษ์พืชท้องถิ่นไปพร้อมๆ กัน สำหรับผู้อ่านที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับพันธุ์พืชชนิดนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มวิจัยวัชพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช โทร. (02) 940-7409 ในวันและเวลาราชการ
แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถปลูกและส่งออกมะม่วงได้มากมายหลายสิบชนิด แต่วันนี้กลับพบว่า ความต้องการบริโภค “มะม่วงแก้ว”เพิ่มขึ้นเท่าตัว และไทยยังผลิตมะม่วงแก้วนอกฤดูได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ นี่คือช่องว่างการตลาดที่ทำให้ “มะม่วงแก้วขมิ้น”จากกัมพูชารุกเข้ามายึดตลาดเมืองไทย
สำหรับมะม่วงแก้วขมิ้น ปลูกมากที่ประเทศกัมพูชา เพราะสภาพดิน อากาศ ปริมาณน้ำฝน ความชื้นเหมาะสม จึงให้ผลดกมาก และยังมีรสชาติหวาน กรอบ อมเปรี้ยวน้อยกว่ามะม่วงแก้วของไทย ลักษณะเนื้อมาก ผลใหญ่ เนื้อมีสีเหลืองสวยงามเหมือนขมิ้น โดยเฉพาะตรงไส้จะเหลืองจัด จึงเป็นที่มาของชื่อมะม่วงแก้วขมิ้น หรือมะม่วงไส้ขมิ้น แต่มีชื่อเป็นทางการว่า “พันธุ์ละเมียด”
ข้อมูลปี 2557 กัมพูชามีเนื้อที่ปลูกทั้งหมด 65,250 เฮกตาร์ หรือประมาณ 391,500 ไร่ ผลผลิตส่งขายไทย 30% และเวียดนาม เกาหลี จีน 70% ปลูกมากใน 8 จังหวัด คือ กัมปงสะปือ (ปลูกมากที่สุด 243,750 ไร่) กัมปงจาม กันดาล ตะแก้ว ตบูงขมุม เสียมเรียบ พระตะบอง และบันเตียเมียนเจย
วันนี้มะม่วงแก้วขมิ้นเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของกัมพูชา ผลผลิตจะเริ่มออกสู่ตลาดในเดือนตุลาคม-พฤษภาคม แต่เว้นระยะหมดรุ่นเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม และผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายในเมืองไทยเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา เพราะมะม่วงไทยขาดตลาด และโรงงานแปรรูปส่งออก มีความต้องการวัตถุดิบจำนวนมาก
อีกทั้งด้วยรสชาติที่ถูกปากคนไทย เนื้อหนา สีเหลืองสวย จึงเป็นที่นิยมบริโภคของคนไทยเป็นอย่างมาก คาดว่ามีมะม่วงแก้วขมิ้นส่งเข้ามาเมืองไทยวันละ 1,000 ตัน
เส้นทางของมะม่วงแก้วขมิ้นส่วนใหญ่มาจากจังหวัดกัมปงสะปือ และเป็นเจ้าของสวนรายใหญ่ปลูกหลายหมื่นไร่ บางรายเกือบแสนไร่ มีผู้รับซื้อเข้าไปซื้อถึงสวนทั้งคนจีน คนไทย กัมพูชา จากนั้นจะขนส่งด้วยรถตู้ รถปิกอัพ รถ 6 ล้อ 10 ล้อมาไทยตามเส้นทางผ่านพนมเปญ ตะแก้ว กำปงชนัง โพธิสัตว์ พระตะบอง และจังหวัดไพลิน ถึงด่านชายแดน บ้านผักกาดและบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รวมระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร
เมื่อถึงด่านบ้านแหลม บริษัทส่งออกของจังหวัดไพลินต้องจัดทำพิธีการศุลกากรผ่านด่านเข้ามาด่านไทย กระจายให้ลูกค้าประจำ สำหรับที่ด่านบ้านผักกาด มีผู้นำเข้ามากเกือบ 20 ราย มีพื้นที่โรงพักสินค้าและคัดเกรด แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ1.มะม่วงตะกร้า แพ็กตะกร้าละ 25-30 กิโลกรัมเพื่อบริโภคผลสด ส่งให้ลูกค้าตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง และทั่วประเทศ
2.มะม่วงโรงงาน ส่วนใหญ่ป้อนให้โรงงานแปรรูปที่จันทบุรี ราชบุรี นครปฐม ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ และทั่วไป โดยแนวโน้มจะส่งขายโรงานแปรรูปเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำไปทำมะม่วงแช่อิ่ม หรืออบแห้งจำหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดจีนมีออร์เดอร์ล่วงหน้ามาแล้ว
ขณะที่ราคามะม่วงในช่วงนี้ต้นทางจากสวนอยู่ที่ 6-7 บาท/กิโลกรัม เมื่อนำมาส่งที่ตลาดชายแดนราคา 12-13 บาท/กก. ส่วนราคาขายปลีกทั่วไปเฉลี่ยกิโลกรัมละ 30-35 บาท และราคารถเข็นขายผลไม้ สามารถทำราคาได้สูงถึงลูกละ 20-25 บาท ส่วนมะม่วงแปรรูปแช่แข็งสร้างมูลค่าเพิ่มได้ไม่ต่ำกว่า 75 บาท/กก.
ใครๆ ก็อยากมีสนามหญ้าสีเขียวๆ ไว้เพิ่มบรรยากาศความสดชื่น และใช้เวลาว่างในช่วงวันหยุด นั่งเล่น นอนเล่น ในสนามหญ้าหน้าบ้านให้เพลิดเพลินใจ แต่การดูแลสนามหญ้าให้เขียวชอุ่มสวยงามตลอดเวลา ก็ต้องคอยแบ่งเวลาดูแล ให้ปุ๋ย ให้น้ำ ต้นหญ้าในสนามอย่างสม่ำเสมอ เมื่อต้นหญ้าเริ่มเขียว ปัญหาที่ตามมาคือ หญ้าจะโต สูงๆ ต่ำๆ ไม่เท่ากัน ตกเป็นภาระหนักของพ่อบ้านหลายรายที่ถูกแม่บ้านชี้นิ้วสั่งให้ตัดหญ้า
หากใครรู้สึกเบื่อ กับการทำงานตัดหญ้า ขอแนะนำให้ลองปลูก “ใบต่างเหรียญ” เป็นไม้สนามแทนต้นหญ้า เพราะประหยัดเวลาในการดูแลสนามหญ้าได้อย่างดี เนื่องจาก ต้นใบต่างเหรียญ จะเจริญเติบโตแนบไปกับดิน ทำให้ประหยัดเวลาและพลังงานในการตัดหญ้า “ใบต่างเหรียญ” เป็นหนึ่งในผลงานวิจัย ในหัวข้อ “จากพืชท้องถิ่น สู่ไม้ประดับ” ของกรมวิชาการเกษตร ที่เผยแพร่สู่สาธารณชน มาตั้งแต่ ปี 2556 เพื่อให้คนไทยรู้จักและใช้ประโยชน์ของพืชท้องถิ่นในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น
“ใบต่างเหรียญ” เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ อายุหลายปี ลำต้นทอดเลื้อยตามผิวดิน มีรากตามข้อ ทำให้ยึดเกาะดินได้ดี ใบเดี่ยวรูปไข่หรือเกือบกลม ขอบเรียบ ดอกสีขาว ออกตามซอกใบตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด หรือแบ่งจากต้นเดิม ทนแล้งได้ดี เป็นพืชที่พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ลักษณะเด่นของ “ใบต่างเหรียญ” คือเจริญเติบโตเต็มพื้นที่ ใบจะช่วยปกป้องไม่ให้น้ำฝนปะทะผิวดินโดยตรง ป้องกันการชะล้างหน้าดินได้ดี ใบไม่ช้ำ หรือเละเมื่อถูกเหยียบย่ำ
หากใครเบื่อดูแลสนามหญ้า ก็อยากเชิญชวนให้หันมาปลูกใบต่างเหรียญแทน เพื่อประหยัดเวลาในการดูแลสนามหญ้า และร่วมอนุรักษ์พืชท้องถิ่นไปพร้อมๆ กัน สำหรับผู้อ่านที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับพันธุ์พืชชนิดนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มวิจัยวัชพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช โทร. (02) 940-7409 ในวันและเวลาราชการ
ไทยไฟเขียวนำเข้า “มะม่วงแก้วขมิ้น” กัมพูชา หวังป้อนโรงงานแปรรูปแช่แข็งส่งออก-บริโภคผลสดในประเทศพุ่งเท่าตัว ด้านผู้นำเข้าชายแดนฝั่งเมืองจันท์-ตราด-สระแก้ว-สุรินทร์ สบช่องเร่งปรับตัวจดทะเบียน สร้างโรงพักคัดแยกสินค้า จ่อนำเข้าให้ทันรับฤดูกาลผลิตตุลาคมนี้ หวั่นทำใบรับรองสุขอนามัยพืช-ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าฝั่งกัมพูชาไม่พร้อม เผยนายหน้าหัวใสโขกค่าดำเนินการสูงเฉียด 3 หมื่นบาท/วัน
นายสุทัศน์ แก้วสะอาด หัวหน้าด่านตรวจพืชจันทบุรี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2559 นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้ลงนามประกาศกรมวิชาการเกษตร เรื่อง เงื่อนไขการนำเข้าผลมะม่วงสดจากราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ. 2559 อนุญาตให้นำมะม่วงสดหรือมะม่วงแก้วขมิ้นจากกัมพูชาได้ภายใต้การดูแลของกรมวิชาการเกษตรของไทย และองค์กรอารักขาพืช (NPPO) ของกัมพูชา
ประกาศฉบับนี้ทำให้สามารถนำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นจากประเทศกัมพูชาได้ทุกช่องทางชายแดนที่ติดต่อกับกัมพูชาทั้ง4จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุรินทร์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด โดยผู้นำเข้าจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการนำเข้าและส่งออก คือ 1.จดทะเบียนการค้า 2.มีใบอนุญาตนำเข้าอาหารและใบอนุญาตนำเข้าสิ่งที่ต้องห้ามจากการค้า
ส่วนผู้ส่งออกต้องมี 1.ใบรับรองสุขอนามัยพืช ที่ออกโดยองค์กรอารักขาพืช กัมพูชา และ 2.ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Form D) เพื่อยกเว้นภาษีสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ซึ่งเอกสารของผู้ส่งออกทั้งสองอย่างต้องระบุชื่อผู้นำเข้าให้ตรงกัน พร้อมทั้งจะมีการสุ่มตรวจตัวอย่างศัตรูพืช ถ้ามีปริมาณน้อยกว่า 1,000 ผล สุ่มตรวจ 450 ผล ถ้ามากกว่า 1,000 ผล จะสุ่มตรวจ 600 ผล
“จันทบุรีน่าจะมีความพร้อมอยู่แล้ว ทั้งผู้นำเข้าที่จดทะเบียนและมีโรงพักสินค้าที่ได้มาตรฐาน อย.ของกระทรวงสาธารณสุข ตอนนี้มีบริษัทจดทะเบียนแล้ว 3-4 ราย ส่วนการยื่นขอใบอนุญาตนำเข้ามะม่วงจากกรมวิชาการเกษตร น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 วัน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการตามประกาศดังกล่าวตั้งแต่ตุลาคมนี้เป็นต้นไป” นายสุทัศน์กล่าว
ผู้นำเข้าโอดกฎใหม่ต้นทุนพุ่ง
แหล่งข่าวจากผู้นำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นด่านบ้านผักกาดจังหวัดจันทบุรีเปิดเผยว่า ผู้นำเข้าพร้อมที่จะจดทะเบียนการค้า และก่อสร้างโรงพักขนถ่ายผลไม้ตามมาตรฐาน อย.แล้วตามระกาศกรมวิชาการเกษตร แต่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นก็คือเอกสารใบรับรองสุขอนามัยพืช และใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าของกัมพูชา เพราะทำการค้ากับผู้ส่งออกรายย่อยคงไม่สามารถขอเอกสารได้ ขณะนี้จึงมีนายหน้าเข้ามารับดำเนินการให้ผู้นำเข้าไทยมีเอกสารผู้ส่งออกฝ่ายกัมพูชา โดยเสนอราคาเบ็ดเสร็จรายละ 29,000 บาทต่อมะม่วงไม่เกิน 250 ตัน/วัน ซึ่งเป็นราคาที่สูง โดยเฉพาะใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Form D) เสนอราคา 15,000 บาท
ทั้งนี้ผู้นำเข้าจะแบกภาระค่าใช้จ่ายสูงถึง 29,000 บาท/ราย/วัน ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงมาก และกำหนดให้นำเข้ารายละไม่เกิน 250 ตัน/วันนั้นก็สูงเกินจริง เพราะช่วงที่ผลผลิตมะม่วงออกมากยังนำเข้าไม่เกิน 100-120 ตัน/วัน ซึ่งนายหน้าแนะนำให้รวมกลุ่มกันเพื่อลดค่าใช้จ่าย
“ด่านบ้านผักกาด มีผู้นำเข้ารายใหญ่กว่า 10 รายตื่นตัวที่จะจดทะเบียนการค้าและสร้างโรงพักผลไม้ที่ได้มาตรฐาน อย. แต่การลงทุนสูงมาก ขณะที่การค้ามะม่วงบวกกำไรเพียงกิโลกรัมละ 1-2 บาท หากต้องเสียค่าเอกสารอีกก็จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นอีก เรายินดีจ่ายเงินค่าดำเนินการในราคาที่เราอยู่กันได้” ผู้นำเข้ารายหนึ่งกล่าว
นายสุมิตร เขียวขจี อดีตประธานหอการค้าจังหวัดตราด กล่าวถึงแนวโน้มตลาดมะม่วงแก้วขมิ้นว่า มีโอกาสเติบโตเพราะโรงงานแปรรูปส่งออกมีความต้องการสูงมาก โดยได้เตรียมลู่ทางนำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นจากจังหวัดกำปงสะปือทางชายแดนด้านจุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก จังหวัดเกาะกง ระยะทางประมาณ 260 กิโลเมตร ใกล้กว่าการนำเข้าด่านจังหวัดจันทบุรี 150-160 กิโลเมตร ซึ่งคาดว่าจะมีการนำเข้ามะม่วงทางเกาะกงมากถึง 60-70%
อย่างไรก็ตาม ไม่แน่ใจว่าเอกสารการนำเข้า-ส่งออกทางฝั่งกัมพูชาจะสะดวกหรือไม่ หากเป็นรูปแบบของการนำเข้าจังหวัดจันทบุรีเดิมจะสะดวก คือ มีคนกลางนำเข้ามาลอตใหญ่ โดยเคลียร์เอกสารทั้งนำเข้าและส่งออกให้ จากนั้นมีลูกค้าประจำมารับสินค้ากระจายออกไป
“คาดว่าจะมีผู้เข้าไปซื้อมะม่วงมากขึ้น ผู้นำเข้ารายย่อยจึงควรรวมตัวกันเพื่อติดต่อกับผู้ส่งออกกัมพูชาจัดทำเอกสารต่าง ๆ เป็นชุดเดียวกัน เพราะเป็นเรื่องยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก รายย่อยจะทำการค้าโดยตรงได้ยาก” นายสุมิตรกล่าว
ด้านนายวุฒิพงษ์ รัตนมณฑ์ ประธานกรรมการสหกรณ์การเกษตรเพื่อการแปรรูปและส่งออก จังหวัดตราด กล่าวว่า ปัจจุบันโรงงานแปรรูปผลไม้มีความต้องการมะม่วงแก้วขมิ้นจำนวนมากเพื่อนำผลสุกไปแช่แข็งส่งออก เพราะลูกใหญ่เนื้อมาก รสชาติไม่เปรี้ยวจัด สีเหลืองสวย ซึ่งสหกรณ์ก็สนใจที่จะนำเข้ามาแปรรูปในช่วงที่โรงงานหมดช่วงฤดูกาลทุเรียน หากแปรรูปแช่แข็งส่งตลาดต่างประเทศได้จะเป็นการเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เพราะมีตลาดจีนที่รับซื้ออยู่แล้ว ทั้งนี้ต้องรอศึกษาวิธีการนำเข้าและส่งออกตามประกาศของกรมวิชาการเกษตรก่อน โดยเฉพาะเรื่องการออกเอกสารรับรองสุขอนามัยพืชของกัมพูชาว่าทำได้หรือไม่
เมื่อเร็วๆ นี้ “กรมส่งเสริมการเกษตร” พาสื่อมวลชนบุกพิสูจน์ผลการดำเนินงาน “ศูนย์การเรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร” (ศพก.) ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ลดต้นทุน-เพิ่มผลผลิตสวนปาล์ม
คุณสงกรานต์ ภักดีคง รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เล่าว่า กรมส่งเสริมการเกษตรมีพันธกิจสำคัญคือ การส่งเสริมพัฒนาเกษตรกร ครอบครัวเกษตรกร องค์กรเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ให้มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้ มีขีดความสามารถในการผลิตและการจัดการสินค้าเกษตรตามความต้องการของตลาด ซึ่งจังหวัดกระบี่ เป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของการดำเนินงาน เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในระดับโลกแล้ว ยังเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจของประเทศ เช่น ยางพารา และปาล์มน้ำมัน โดยที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการเกษตร ได้เข้าไปดำเนินกิจกรรมพัฒนาเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรผ่านโครงการต่างๆ อย่างหลากหลาย และมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง เช่น การส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมัน การส่งเสริมอาชีพ การส่งเสริมการตลาด การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และการดำเนินงานศูนย์เรียนรู้เพิ่มเติมประสิทธิภาพสูงสุดต่อการดำเนินงาน รวมทั้งเป็นการเผยแพร่กิจกรรมของเกษตรกรในพื้นที่
คุณสมหวิง หนูศิริ เกษตรกรต้นแบบเจ้าของศูนย์ ตั้งอยู่ที่ 261 หมู่ที่ 3 บ้านทุ่งทับควาย ตำบลทุ่งไทรทอง อำเภอลำทับ จังหวัดกระบี่ เป็นต้นแบบในการเรียนรู้ของชุมชนในการจัดการสวนปาล์มน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ดำเนินการในลักษณะการทำเกษตรแบบผสมผสานมีกิจกรรมหลากหลาย ปลูกปาล์มน้ำมันเป็นพืชหลัก ปลูกพืชแซม เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงปลาในบ่อซีเมนต์ เพาะเห็ด การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากมูลสัตว์และเศษวัสดุเหลือใช้จากในแปลงทำปุ๋ยหมัก ร่วมกับการใช้ปุ๋ยเคมี
คุณสมหวิง กล่าวว่า การปลูกปาล์มน้ำมันที่ดีต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ และทำความเข้าใจในการปลูก เกษตรกรจะปลูกอย่างเดียวไม่ได้ เพราะในปัจจุบันไม่เหมือนเมื่อก่อน ต้นทุนการผลิตสูง ทีนี้เกษตรกรจะปลูกต้องคำนึงถึงพื้นที่ การปลูกปาล์มน้ำมันไม่ได้เหมาะกับทุกพื้นที่ แต่ทางภาคใต้แล้วถือว่าเหมาะกับการปลูกปาล์มน้ำมัน
หลังจากการเตรียมดิน แนะให้ปลูกแบบใหม่ ก่อนหน้านี้ จะปลูกให้มีระยะห่างระหว่างต้น ระหว่างแถว 9×9 เมตร หรือ 8×8 เมตร ซึ่งจะได้จำนวนต้นเยอะ แต่ผลผลิตน้อย ปัจจุบัน แนะให้ปลูกระยะห่างระหว่างต้น ระหว่างแถว 10×10 เมตร วางแนวให้ได้รับแสงแดด เพราะแสงแดดจะทำให้ปาล์มออกลูกได้มาก วิธีนี้ได้ทะลายน้อยก็จริง แต่ได้ผลผลิตมาก ลูกดก ช่วยประหยัดแรงงาน เกษตรกรเจ้าของสวนปาล์มก็สามารถทำเองได้
คุณสมหวิง บอกว่า เมื่อก่อนเกษตรกรนิยมปลูกปาล์มพันธุ์ไต้หวัน ไปเก็บใต้โคนต้นมาปลูก ด้วยความไม่เข้าใจของเกษตรกรจึงส่งผลทำให้ไม่ได้ผลผลิตดีเท่าที่ควร จึงทำความเข้าใจใหม่ว่าการปลูกปาล์มให้ได้ผลดีต้องมีพันธุ์ปาล์มที่ดี บุคคลที่จะขยายพันธุ์ปาล์มต้องมีหนังสือรับรองจากกรมวิชาการเกษตร ทีนี้เกษตรกรได้ปาล์มที่ดีมาปลูก เมื่อเกษตรกรเข้าใจเรื่องพันธุ์ปาล์มแล้ว เข้าใจเกี่ยวกับการดูแล ทางศูนย์เราก็พยายามแนะนำให้ใช้เชื้อไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยหมัก รองก้นหลุมก่อนปลูก นี่คือ ตัวหลักคือเราต้องป้องกันตั้งแต่ ที่ดิน 1 ไร่ ปลูกได้ประมาณ 22 ต้น ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ
ปลูกปาล์มแบบลดต้นทุนการผลิต
สวนของคุณสมหวิงมีวิธีลดต้นทุน ดังนี้ เน้นที่การเลี้ยงสัตว์ในสวนปาล์ม เพราะสัตว์ช่วยถางสวนให้ ลดสารเคมี ใช้มูลเป็นปุ๋ย
ทำปุ๋ยหมักมาใส่ต้นปาล์ม ทำค่าวิเคราะห์ดินและใบปาล์มน้ำมัน เพื่อใส่ปุ๋ยชีวภาพตามค่าวิเคราะห์ดิน ลดปุ๋ยเคมีลง ต้นทุนการผลิตก็ลดลงด้วย ช่วงแรกเกษตรกรก็ไม่เข้าใจในการปลูกพืชแซมในสวนยาง โดยเฉพาะภาครัฐเมื่อก่อนไม่ให้ปลูก
ให้ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ไม่ให้ปลูกพืชแซม เพราะเป็นนโยบายของภาครัฐให้ทำลายพืชชนิดอื่นเหลือพื้นที่เปล่าๆ แต่เมื่อโครงการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้ามาสู่ชุมชนจะเห็นว่าเศรษฐกิจพอเพียงจะโยงถึงชาวสวน ทำให้ชาวสวนเกิดแนวคิดว่า จะมานั่งทำสวนเชิงเดี่ยวไม่ได้แล้ว ต้องหารายได้เสริมเพื่อแก้ปัญหายามปาล์มน้ำมันราคาตกในช่วงฤดูแล้ง ต้องหาอาชีพเสริมเข้ามาใส่ คราวนี้ก็มาคิดว่าในสวนปาล์มสามารถปลูกอะไรได้บ้าง จึงศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม จึงได้รู้ว่าในสวนปาล์มสามารถเลี้ยงสัตว์ ทำประมง ปลูกพืชผักก็ได้ ซึ่งทุกวันนี้รายได้หลักน้อยกว่ารายได้เสริม
เรียบร้อยไปแล้วสำหรับการประกาศผลและพิธีมอบรางวัลนวัตกรรม เนื่องใน “วันนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๙” เพื่อเชิดชูเกียรติแก่นวัตกรไทยที่สามารถพัฒนานวัตกรรมจนประสบความสำเร็จ ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ร่วมกับมูลนิธิข้าวไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
ในปีนี้แบ่งรางวัลออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ รางวัลการออกแบบเชิงนวัตกรรม รางวัล Inspirational Innovator รางวัล Startup of the year รางวัล Total Innovation Management รางวัลนวัตกรรมข้าวไทย และรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย โดยผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในแต่ละประเภท ดังนี้
รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ
ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ ผลงานนวัตกรรม ไข่ออกแบบได้ บริษัท คลีน กรีนเทค จำกัด
ด้านสังคม ได้แก่ ผลงานนวัตกรรม การพัฒนาโพรไบโอติกแลกโตแบซิลลัสพาราเคซิอิเอสดีหนึ่งเพื่อใช้ป้องกันฟันผุ
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
รางวัลการออกแบบเชิงนวัตกรรม
สาขา Food Design ได้แก่ แป้งเบเกอรี่สำเร็จรูปปราศจากกลูเต็น บริษัท บูรพา พรอสเพอร์ จำกัด
สาขา Green design ได้แก่ “บีช” กระเบื้องผงแก้วรีไซเคิล บริษัท อิมแม็กซ์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด สาขา Medical Product Design ได้แก่ แผ่นรองใต้ก้นพร้อมถุงวัดปริมาตรเลือดภายหลังการคลอดปกติ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
สาขา Service Design ได้แก่ บริการรับตู้รับฝากสิ่งของควบคุมระยะไกล บจก. อินโนชิเนติ
รางวัล Inspirational Innovator
องค์กร ได้แก่ “ทีช ฟอร์ ไทยแลนด์” (Teach for Thailand)…สร้างความเท่าเทียมกันทางการศึกษาไทย
บุคคล ได้แก่ นายวิเชียร พงศธร…ผู้ยึดหลักคิดและปฏิบัติสู่สังคมไทยที่มีความสุขอย่างยั่งยืนร่วมกัน
บุคคล ได้แก่ ดร.มีชัย วีระไวทยะ…บิดาแห่งธุรกิจเพื่อสังคม
รางวัล Startup of the year
รางวัล Startup of the year ได้แก่ JITTA บริษัท คลีน กรีนเทค จำกัด กล่าวว่า นวัตกรรมนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อพัฒนาคุณภาพไข่ไก่ให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นและเป็นที่ต้องการของตลาด โดยการใช้นาโนเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบการนำส่งสารอาหารเข้าสู่อวัยวะเป้าหมาย เพื่อพัฒนาคุณภาพไข่ไก่ อาทิ การนำส่งน้ำมันโหระพาและน้ำมันออริกาโน่ ซึ่งมีฤทธิ์ในการป้องกันและรักษาโรคบิดในไก่ ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยกระตุ้นการกินอาหาร เป็นการทำให้ลำไส้ของไก่สะอาด ส่งผลให้ไก่ได้รับสารอาหารได้เต็มที่ อย่างเช่น เพิ่มไอโอดีนหรือสารอาหารอื่นๆที่ต้องการเข้าไป และมีผลทำให้ไข่ขาวของเป็นวงกลม ผู้บริโภคมีโอกาสได้บริโภคไข่ไก่ที่มีคุณภาพ และปลอดภัยจากการตกค้างของสารเคมีและยาปฏิชีวนะ
“ตอนนี้ทางบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัทใหญ่ๆ รวมถึงตัวเกษตรกรที่เลี้ยงไก่ด้วย ซึ่งในการพัฒนาไข่ไก่รูปแบบนี้ จะทำให้ขายไข่ไก่ได้ราคาดีขึ้น นอกจากนี้ทางบริษัท คลีน กรีนเทคฯ ก็ยังได้ร่วมมือกับประเทศต่างๆในอาเซียน อย่างเช่น มาเลเซีย พม่าฯลฯ ในการผลิตไข่ดังกล่าว”
ส่วนรางวัลการออกแบบเชิงนวัตกรรม สาขาการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green design) “VOWDA” แป้งอัดแข็งจากกะลามะพร้าว คว้า รางวัลที่ 2 คุณวิลาสินี โฆฆิตชัยวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ว้าวด้า จำกัด กล่าวว่า ด้วยความที่ครอบครัวและทำธุรกิจอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งปลูกมะพร้าวจำนวนมาก และเห็นการทิ้งกะลามะพร้าวโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า จึงอยากนำมาเพิ่มมูลค่า เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ดีขึ้น เพราะเห็นว่าน่าจะมาทำเป็นแป้งทาหน้าได้ หลังจากที่เคยนำข้าวและเม็ดบัวมาทำเป็นแป้งอัดแข็งจำหน่ายก่อนหน้านี้แล้ว
“วิธีการทำแป้งอัดแข็งจากกะลามะพร้าวค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน เพราะต้องผ่านกระบวนการแปรรูป 3 อย่างคือ การแปรรูปให้เป็นถ่านกัมมันต์บดละเอียด การแปรรูปโดยการบดละเอียดให้ได้ขนาด จากนั้นนำมาฆ่าเชื้อโดยใช้วิธีให้คงสี และการใช้หลักการสกัดเซลลูโลสบริสุทธิ์ นำไปผสมในสูตรตำรับแป้งแต่งหน้าแบบแข็ง และนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตเครื่องสำอางออแกนิก ซึ่งจะออกจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ในราคาตลับละ 900 กว่าบาท ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าทำไมแพงทั้งๆที่ทำจากกะลามะพร้าว ความจริงต้องผ่านหลายกระบวนการมาก กว่าจะทำออกมาได้ ซึ่งเหมาะกับคนที่ชอบใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติแทนแป้งทัลคัมที่ใช้กันอยู่ทั่วไป”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แป้งอัดแข็งจากกะลามะพร้าวได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก เพราะหลายคนไม่คิดว่าจะนำมาทำเป็นแป้งทาหน้าได้ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการมักจะนำน้ำมันมะพร้าวมาทำเป็นเครื่องสำอางเสียมากกว่า
ไม่บ่อยนักที่จะมีโอกาสได้พบหรือสนทนากับเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ จนถึงขึ้นเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐี เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าเกษตรกรบ้านเรา ส่วนใหญ่มีฐานะยากจนหรือไม่ก็พอมีพอกิน ไม่มีเหลือเก็บ น้อยคนนักที่จะสามารถสร้างฐานะมั่งคั่งขึ้นมาได้จากการทำอาชีพหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินนี้ได้
งานนี้กรมส่งเสริมการเกษตร ชักชวนให้ไปดูสวนทุเรียนของ”คุณฉัตรกมล มุ่งพยาบาล” ที่ต.พะโต๊ะ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร บนพื้นที่ 45 ไร่ และยังมีสวนทุเรียนอีก 15 ไร่ ที่อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร
เกษตรกรหนุ่มผู้นี้ที่มีดีกรีถึงปริญญาโท โดยจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้และปริญญาโทที่สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ซึ่งในสวนของเขาปลูกผลไม้หลายอย่างและพืชอื่นๆด้วยอย่างเช่น ปาล์มน้ำมัน กล้วยน้ำหว้า ไผ่ตง ส้มโชกุน และทุเรียนหลายพันธุ์ แต่หลักๆคือ”หมอนทอง” ซึ่งเป็นพันธุ์ส่งออกที่ด้ราคาดี โดยในปีหนึ่งๆเขามีรายได้จากการขายทุเรียนส่งนอกหลายล้านบาท ประเทศนำเข้าเป็นอันดับหนึ่งคือ จีน
ด้วยความรู้ความสามารถและยังอุทิศตนให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ โดยเฉพาะในวงการเกษตร ทำให้เขาได้รับรางวัลจากหน่วยงานต่างๆมากมาย อาทิ เกษตรกรทำสวนดีเด่นของจังหวัดชุมพร ปี 2557 และได้รับคัดเลือกเกษตรกรดีเด่นรองชนะเลิศระดับประเทศ สาขาอาชีพการทำสวน ในฐานะสมาร์ทฟาร์มเมอร์ของกรมส่งเสริมการเกษตร ได้นั่งเก้าอี้เลขาธิการสมาคมชาวสวนไม้ผลจังหวัดชุมพร และเป็นประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มไม้ผลคุณภาพบ้านห้วยเหมือง รวมถึงมีตำแหน่งต่างๆอีกมาก และสวนของเขายังเป็นศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการจัดการคุณภาพทุเรียน และศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร การผลิตทุเรียนคุณภาพเพื่อการส่งออก
เรียกว่า เป็นเกษตรกรตัวอย่างที่มีคุณภาพคับแก้วจริงๆ ที่สำคัญเขายังนำความรู้ความสามารถและประสบการณ์ต่างๆถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้อย่างไม่เหน็ดเนื่อย สาเหตุที่เขาทำสวนผลไม้จนสามารถสร้างฐานะได้อย่างมั่นคงนั้น มีหลายปัจจัยด้วยกัน ส่วนหนึ่งเพราะเรียนจบทางด้านเกษตรมา และเมื่อจบก็ทำงานกับบริษัทขายปุ๋ยเคมีอยู่หลายปี กระทั่งตัดสินใจมาทำยึดอาชีพเกษตรเต็มตัวในปี2540 จนถึงปัจจุบัน โดยเป็นแปลงผลิตทุเรียนที่ตรงตามหลักเกษตรดีที่เหมาะสม (GAP) เป็นต้นแบบของการส่งออก
นอกจากนี้ยังใช้ระบบการบริหารจัดการที่ดี อาทิ ทำระบบ สมัครพนันออนไลน์ QR Code เพื่อให้สามารถตรวจสอบคุณภาพย้อนกลับถึงแหล่งผลิตได้ ผลิตทุเรียนนอกฤดู รวมถึงเน้นการรวมกลุ่มเกษตรเพื่อให้มีอำนาจต่อรองในการส่งออก ซึ่งทำให้เขาและสมาชิกสามารถขายทุเรียนได้ถึงกิโลกรัมละ 120 บาท