PRODUCT

สยามอะเมซิ่งพาร์ค จับมือพันธมิตร เตรียมเปิด “บางกอกเวิลด์” แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร พฤศจิกายน 65 เสริมทัพสวนน้ำสวนสนุก ผงาดขึ้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวครบวงจรแถวหน้าของเอเซีย

กลุ่มบริษัทสยามพาร์คซิตี้ ผู้ดำเนินธุรกิจสยามอะเมซิ่งพาร์ค สวนน้ำสวนสนุกชั้นนำของประเทศไทย แถลงข่าวความคืบหน้าโครงการ “บางกอกเวิลด์” ส่วนขยายด้านหน้าบนพื้นที่ 70 ไร่ ติดถนนสวนสยาม แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแห่งใหม่ที่รวมความเป็นที่สุดของเมืองบางกอกในทุกมิติ อัดแน่นด้วยกิจกรรมที่เป็นที่สุด สินค้ามากที่สุดจากทั่วประเทศ บริการที่สุดของความประทับใจ พร้อมสร้างปรากฏการณ์การท่องเที่ยวและพักผ่อนรูปแบบใหม่ที่เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย ทุกไลฟ์สไตล์ เที่ยวได้ทุกวัน เตรียมเปิดอย่างเป็นทางการ 22 พฤศจิกายนนี้ พร้อมฉลองโอกาสมหามงคลกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 240 ปี และร่วมเทอดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา

ดร. ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ ประธานที่ปรึกษากลุ่มบริษัทสยามพาร์คซิตี้ กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในการบริหารธุรกิจท่องเที่ยว จากประสบการณ์ที่สยามอะเมซิ่งพาร์คสามารถครองใจคนไทยมาได้ยาวนานกว่า 40 ปี ทำให้มองเห็นโอกาสในการเพิ่มทางเลือกให้แก่นักท่องเที่ยว สามารถเพลิดเพลินกับสวนน้ำสวนสนุก และยังได้สัมผัสกับสถาปัตยกรรมงดงามของเมืองบางกอกในวันวาน ศิลปวัฒนธรรมวิถีไทย และสินค้าวิสาหกิจชุมชนเกรดพรีเมี่ยมจากทั่วประเทศ

โดยผุดโครงการ “บางกอกเวิลด์” ส่วนต่อขยายความสำเร็จของสยามอะเมซิ่งพาร์คด้วยงบลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ได้เร่งเดินหน้าโครงการถึงแม้ต้องพบกับความท้าทายในช่วงวิกฤตการณ์โควิด19ที่ผ่านมา ดร.ไชยวัฒน์ยังกล่าวถึงโอกาสที่จะตามมาอีกมหาศาลในช่วงปลายปี2565 เห็นได้จากแนวโน้มการตอบรับของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ ประกอบกับความเชื่อมั่นของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งได้ออกมาเผยยอดนักท่องเที่ยวและแผนแม่บทที่จะผลักดันให้ไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวสูงสุด 1 ใน 5 ของโลก

ทั้งนี้จากทิศทางดังกล่าวเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำพาสยามอะเมซิ่งพาร์คขึ้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของภูมิภาคเอเชียได้อย่างเต็มภาคภูมิ โดยจะตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่มองหาแหล่งท่องเที่ยวระดับสากลที่ถูกใจสมาชิกทุกเพศทุกวัย เดินทางสะดวก สามารถเลือกใช้บริการได้ทั้งวัน โดยจะเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 10.00น. สวนน้ำจะเปิดบริการถึง 17.00น. ในขณะที่สวนสนุกจะขยายเวลาให้บริการในช่วงกลางคืนถึง 21.00น.

ในราคาบัตรปกติ และบางกอกเวิลด์จะเปิดให้บริการโดยไม่มีค่าผ่านประตู ตั้งแต่เวลา 10.00น.ถึง 22.00น. คาดการณ์ว่า จะสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยกว่าปีละ 5 ล้านคน โดยมีสัดส่วนเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 60% และชาวต่างชาติ 40%

นายอรรถชัย เหลืองอมรเลิศ ผู้จัดการใหญ่โครงการบางกอกเวิลด์ กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการว่าขณะนี้มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 80% พร้อมเผยกลยุทธ์การตลาด “ที่สุดของกรุงเทพมหานคร” ตามคำนิยามโครงการ “The Best of AMAZING Bangkok” ทุกความเป็นที่สุดจะถูกรวมไว้ที่นี่

“บางกอกเวิลด์” จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมขนาดใหญ่ที่มีความสร้างสรรค์ร่วมสมัยและถ่ายทอดวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างลงตัว โดยเป็นศูนย์รวมความบันเทิงทุกรูปแบบ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอาคารสุดคลาสสิกในสมัยรัชกาลที่ 5 จำนวน 12 อาคาร อาทิ อาคารเฉลิมกรุง อาคารเฉลิมไทย อาคารบี.กริม.แอนด์โก ฯลฯ พร้อมยกระดับสินค้าและบริการของวิสาหกิจชุมชนไทยทุกแขนงให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล

ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1,000 ร้านค้า สินค้ากว่า 30,000 รายการ สมัคร Royal Online ซึ่งจะทำการคัดสรรสินค้าและบริการใหม่ๆ รวมถึงเปิดรับผู้ประกอบการ SMEs ไทยที่ต้องการพื้นที่ในการสร้างแบรนด์หรือเปิดร้านค้าในรูปแบบที่สร้างสรรค์ ด้วยทำเลที่มีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งการเดินทางที่สะดวกด้วยรถยนต์ส่วนตัวและระบบขนส่งสาธารณะ ในพื้นที่โครงการรองรับรถยนต์ได้ถึง 2,000 คัน เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีส้ม อยู่ใกล้สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิและสนามบินนานาชาติดอนเมือง อีกทั้งยังแวดล้อมไปด้วยแหล่งชุมชน ที่พักอาศัยชั้นนำมากมาย เรียกได้ว่า “บางกอกเวิลด์” เป็นทำเลทองที่น่าจับตามองอีกแห่งของโซนกรุงเทพฝั่งตะวันออก

นอกจากนี้ “บางกอกเวิลด์” ยังเสริมบริการเพื่อดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นอาคาร Bangkok Dinner Theater ศูนย์การประชุม การแสดงสินค้า ลานคอนเสิร์ต ที่รองรับได้มากถึง 2,000 คน หรือ อาคาร Bangkok World Food Hall ที่รวบรวมร้านอาหารตั้งแต่สตรีทฟู้ดไปจนถึงระดับภัตตาคาร และพลาดไม่ได้กับโซนตลาดน้ำ ตลาดนัดกลางคืนบางกอกเวิลด์กว่า 500 ร้านค้าที่จะเปิดบริการระหว่าง 17.00-22.00น. ซึ่งถือเป็นการเพิ่มพื้นที่ขายแก่ผู้ค้ารายย่อย จัดระเบียบหาบเร่แผงลอยตามนโยบายของ กทม. นอกจากนี้ยังเป็นการวบรวมเสน่ห์ของสตรีทฟู้ดและสินค้าช้อปปิ้งราคาย่อมเยาที่นักท่องเที่ยวคนไทยติดใจและต่างชาติอยากมาลิ้มลอง จัดเต็มด้วยกิจกรรมการแสดงต่างๆ ที่จะมีขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งปี

พร้อมกันนี้โครงการ “บางกอกเวิลด์” ยังได้เปิดตัวพันธมิตรจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่มีโครงการสนับสนุนส่งเสริมยุทธศาสตร์ชาติทั้งด้าน SMEs, OTOP, Street Food รวมถึงการท่องเที่ยวระดับประเทศ อาทิ กรุงเทพมหานคร ธนาคารออมสิน กฟผ. ปตท. สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และพันธมิตรอีกมากมาย นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญที่หน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน จะมีส่วนร่วมในการส่งเสริม ฟื้นฟู เศรษฐกิจในระดับฐานรากของชุมชนทั่วประเทศอย่างยั่งยืนผ่านโครงการ “บางกอกเวิลด์”

“พลเอกประวิตรฯ” ลงพื้นที่ จ.สมุทรปราการ ติดตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 65 สั่ง กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.) บูรณาการแผนป้องกันน้ำหลากนิคมอุตสาหกรรมบางปูและพื้นที่โดยรอบ กรมชลประทานน้อมรับนโยบาย ปฏิบัติ 4 แนวทาง คาดการณ์พื้นที่เสี่ยง หลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง ระบบชลประทานเร่งระบาย Stand by เครื่องมือเครื่องจักร

วันที่ 25 กรกฎาคม 2565 ที่ห้องประชุมเทศบาลตำบลบางเมือง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.สมุทรปราการ

โดยมี นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน พร้อมด้วย ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องร่วมลงพื้นที่ และนำเสนอแผนการระบายน้ำในพื้นที่ ตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 65 เพื่อรองรับสถานการณ์น้ำหลากลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำบางปะกง

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อติดตามความก้าวหน้าแผนงานและแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ การดำเนินการโครงการรักษ์คูคลองเฉลิมพระเกียรติ และโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมบางปูและพื้นที่โดยรอบ โดยเฉพาะ 13 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 65 ที่จังหวัดและทุกหน่วยงานได้จัดทำแผนปฏิบัติการระบายน้ำหลากในพื้นที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว และเพื่อให้การดำเนินการเกิดผลเป็นรูปธรรม

จึงได้กำชับให้ สทนช. กรมชลประทาน การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ จ.สมุทรปราการ ร่วมบูรณาการจัดทำแผนหลักเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบางปูและพื้นที่โดยรอบ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่เกิดความเชื่อมั่น รวมทั้งให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งซ่อมแซมและบำรุงรักษาระบบระบายน้ำ อาคารบังคับน้ำ และสถานีสูบน้ำให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน

ด้านนายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานในฐานะหน่วยงานปฏิบัติ น้อมรับนโยบายดำเนินการตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 65 พร้อมวางแผนป้องกันและบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่สมุทรปราการด้วยการ คาดการณ์พื้นที่เสี่ยง 4 แห่ง ได้แก่

– นิคมอุตสาหกรรมบางปู

– ชุมชนคลองบางปลา

– ชุมชนบางพลี (คลองสำโรง) ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี

– วัดบางบ่อ อ.บางบ่อ

พร้อมกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการกำจัดวัชพืชไปแล้วกว่า 66,000 ตัน นอกจากนี้ ยังได้ทำการขุดลอกคลองพระองค์ไชยานุชิต คลองชายทะเล คลองสุวรรณภูมิ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนคลองสำโรง มีความคืบหน้าร้อยละ 56 ของแผนฯ การบริหารจัดการน้ำด้วยระบบชลประทาน เร่งระบายน้ำผ่านคลองระบายน้ำแนวดิ่ง ก่อนใช้สถานีสูบน้ำที่ติดตั้งอยู่ริมคลองชายทะเล จำนวน 12 สถานี อัตราการระบายรวม 42 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เร่งระบายลงสู่ทะเลตามลำดับ

อีกด้านหนึ่งจะมีการระบายน้ำผ่านคลองระบายแนวขวาง เพื่อระบายน้ำไปลงแม่น้ำบางประกง จ.ฉะเชิงเทรา ในอัตราการระบายรวม 16 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน บางส่วนจะมีการระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ในอัตรา 5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ทั้งนี้ ได้สั่งการให้เตรียมพร้อมเครื่องมือ เครื่องจักร อาทิ เครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ 49 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ำ 21 เครื่อง สามารถระบายน้ำได้เพิ่มขึ้นวันละ 8 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อเสริมการระบายน้ำให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนสามารถติดต่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำ และการช่วยเหลือได้ที่สายด่วนกรมชลประทาน 1460 หรือ เฟสบุ๊คแฟนเพจ (Facebook) กรมชลประทาน หรือติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆได้ทางเว็บไซต์กรมชลประทาน www.rid.go.th

วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่เยี่ยมติดตามคุณภาพชีวิตผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ พร้อมมอบสิ่งของแก่ผู้ประกันตน ตามโครงการ “ประกันสังคมเยี่ยมผู้ทุพพลภาพ” เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ นายประศาสน์ ชาวบ้านไร่ อายุ 54 ปี ผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่ตำบลคลองครุ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร

ในการนี้นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้มอบหมายให้ นางรัชนี ภู่พร้อมพันธ์ ประกันสังคมจังหวัดสมุทรสาคร และหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย

นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยลูกจ้างผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ พร้อมเข้าดูแลให้ได้รับสิทธิประโยชน์ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้มีความอบอุ่น อีกทั้งรับทราบปัญหาและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้สิทธิตามกฎหมาย ของผู้ทุพพลภาพ รวมทั้งติดตาม อาการเจ็บป่วย เพื่อนำสู่การรักษา ฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจให้ผู้ประกันตนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

โดยในวันนี้นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ดิฉันพร้อมคณะ ลงพื้นที่เยี่ยมติดตามคุณภาพชีวิตผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ พร้อมมอบสิ่งของแก่ผู้ประกันตน ตามโครงการ “ประกันสังคมเยี่ยมผู้ทุพพลภาพ” ตามนโยบายกระทรวงแรงงานเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ทุพพลภาพ และครอบครัว ของนายประศาสน์ ชาวบ้านไร่ อายุ 54 ปี ผู้ประกันตนมาตรา 33 ทุพพลภาพเนื่องจาก ประสบอุบัติเหตุทำให้ได้รับบาดเจ็บกระดูกสันหลังหัก สูญเสียการเคลื่อนไหวตั้งแต่ระดับเอวลงไป ปัจจุบันมีแผลกดทับบริเวณก้นกบ สามารถเคลื่อนไหวได้โดยใช้แขนทั้ง 2 ข้างช่วยพยุงตัว เป็นผู้ทุพพลภาพตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2540 ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ เดือนละ 2,805 บาท (ตลอดชีวิต) จนถึงปัจจุบันได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้แล้วเป็นจำนวนเงิน 827,475 บาท

นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อไปว่า สำนักงานประกันสังคมพร้อมดูแลผู้ประกันตน ทุพพลภาพให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะผู้ประกันตนทุกคน คือครอบครัวประกันสังคม

กรมโยธาธิการและผังเมือง​ จัดกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2565

วันที่ 21 กรกฎาคม 2565 เวลา 08.45 น. นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ 28 กรกฎาคม 2565 เพื่อร่วมแสดงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย

โดยหลังจากที่เสร็จพิธีเปิดกิจกรรมจิตอาสาแล้ว นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองได้เป็นผู้นำในการทำกิจกรรมจิตอาสา ได้แก่ การปรับภูมิทัศน์ภายในกรมโยธาธิการและผังเมือง ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและมีสภาพแวดล้อมที่สวยงาม

โดยการทาสีรั้วรอบอาคารนริศรานุวัดติวงศ์ สำหรับกิจกรรมดังกล่าวประกอบด้วย ผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง จิตอาสา จำนวนกว่า 100 คน ณ อาคารนริศรานุวัดติวงศ์ กรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระรามที่ 6

เอสซีจีรวมพลัง 315 พันธมิตร รัฐ เอกชน พลังหญิง-คนรุ่นใหม่ สู้วิกฤตโลกรวน ขับเคลื่อน ESG ทั่วอาเซียน เผยแผนเร่งด่วนดันนวัตกรรม Net Zero ครั้งแรกในประเทศ
ผนึกความร่วมมือรัฐ เอกชน สู่สังคมคาร์บอนต่ำ

วันที่ 19 กรกฎาคม 2565 ภาคเอกชน ภาครัฐ ประชาสังคม และพันธมิตรระดับโลก ผนึกพลัง ความร่วมมือด้าน ESG เป็นครั้งแรกในไทยในงาน ESG Symposium 2022 มุ่งเร่งแก้วิกฤตซ้ำซ้อน โลกร้อน ทรัพยากรธรรมชาติ อาหารขาดแคลน พิษโควิด ปัญหาเงินเฟ้อ พลังงานพุ่ง เผยข้อสรุปเร่งดันแผนจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือพัฒนานวัตกรรม Net Zero ครั้งแรกในประเทศ เพื่อระดมความรู้ เทคโนโลยีจากทั่วโลก คาดเห็นความชัดเจนปลายปีนี้

ขณะที่ภาคเอกชนประกาศคำมั่นเดินหน้าเชิงรุกขยายเครือข่าย ความร่วมมือเพื่อสร้างเศรษฐกิจสีเขียวตลอดห่วงโซ่คุณค่า พร้อมจับมือภาครัฐด้วย 10 แนวทางมุ่งสังคมคาร์บอนต่ำ อาทิ โครงสร้างพื้นฐานเอื้อการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน สนับสนุนเงินทุน จัดระบบการจัดเก็บขยะที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมวินัยการคัดแยกขยะ และการออกแบบที่ยั่งยืน

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยในงาน ESG Symposium 2022 :Achieving ESG and Growing Sustainability ว่า “เอสซีจีได้ยกระดับ SD Symposium ที่จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 สู่ ESG Symposium เพื่อขยายพลังความร่วมมือตามแนวทาง ESG ซึ่งเป็นทางรอดเดียวที่จะช่วยแก้วิกฤตซ้ำซ้อนที่กำลังเผชิญอยู่

โดยที่ผ่านมาเวทีดังกล่าวได้ผลักดันความร่วมมือจากระดับโลกเชื่อมโยงสู่ระดับประเทศเพื่อสร้าง การเปลี่ยนแปลงและแก้ไขวิกฤตที่เกิดผลเป็นรูปธรรม เช่น ความร่วมมือสร้าง Roadmap ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของอุตสาหกรรมซีเมนต์และคอนกรีตในประเทศไทยกับสมาคมซีเมนต์และคอนกรีตโลก (Global Cement and Concrete Association – GCCA) เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของไทยให้ดำเนินนโยบายบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2050 ให้เป็นทิศทางเดียวกับระดับโลก

พร้อมเตรียมนำแผนงานดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุม COP 27 ในเดือนพฤศจิกายนนี้ที่ประเทศอียิปต์ นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือแก้ปัญหาขยะพลาสติกในมหาสมุทรอย่างยั่งยืนกับ Alliance to End Plastic Waste- AEPW ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลกที่เกิดจากความร่วมมือของกลุ่มบริษัทที่ทำงานร่วมกันในห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมพลาสติก ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้บริโภค จนถึงผู้ที่จัดการพลาสติกหลังจากใช้แล้ว เป็นต้น

“แม้ว่าที่ผ่านมา คนได้เริ่มตื่นตัว ตระหนักถึงปัญหา และลุกขึ้นมาลงมือทำ ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และประเทศ ตลอดจนมีความร่วมมือเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก แต่ก็ยังไม่ทันต่อวิกฤตโลกที่ทวีความรุนแรงและใกล้ตัวมากขึ้น ทั้งสภาพอากาศแปรปรวน ภัยแล้ง น้ำท่วม ทรัพยากรที่เริ่มไม่เพียงพอ เกิดภาวะวิกฤตอาหารและพลังงาน ขาดแคลนทั่วโลก

นอกจากนี้ ยังมีวิกฤตโควิด 19 ที่กลับมาอีกระลอก โรคระบาดใหม่ที่พร้อมก่อตัว รวมถึงเงินเฟ้อ ความยากจนที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้น ขณะที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1.1 องศา หากไม่เร่งความร่วมมือแก้ไขจนอุณภูมิโลกร้อนเกินเป้าหมายที่ 1.5 องศา โลกจะเปลี่ยนแปลงจนเราไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้แบบเดิม ถือเป็นวาระเร่งด่วนที่ทุกคน ทุกหน่วยงานต้องเริ่มลงมือแก้ไขด้วยตนเอง เริ่มจากการปรับพฤติกรรมง่ายๆ ใกล้ตัวและขยายไปสู่ความร่วมมือเพื่อแก้ไขให้ทันท่วงที

การจัดงาน ESG Symposium 2022 ในครั้งนี้ จึงมีเป้าหมายเพื่อเร่งขยายพลังความร่วมมือให้มากขึ้นและทันต่อวิกฤตโลก ทั้งในบริบทของสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคมเหลื่อมล้ำ (Social) โดยยึดถือความโปร่งใส (Governance) เป็นพื้นฐานสำคัญในทุกการดำเนินงาน” นายรุ่งโรจน์กล่าว

ด้าน นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วม การพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี เปิดเผยว่า จากการระดมสมองของทุกภาคส่วนในงาน ESG Symposium 2022 ได้ข้อสรุป 2 แนวทาง ที่นำไปสู่การขยายผล และการลงมือปฏิบัติได้จริง เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero GHG Emissions) ภายในปี 2065 ดังนี้

1.จัดตั้งกลุ่มความร่วมมือเร่งสร้างนวัตกรรมเพื่อ Net Zero ผ่านรูปแบบของ Industrial and Academic Consortium ครั้งแรกในไทย ที่ระดมความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชนจากระดับโลกและระดับประเทศ โดยมีนักวิชาการ ผู้บริหารระดับสูงจากหลากหลายส่วน ทั้งพลังงาน ขนส่ง ไฟฟ้า ปิโตรเคมี ก่อสร้าง อุปโภคบริโภค สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT-Massachusetts Institute of Technology) สมาคมคอนกรีตโลก (GCCA- Global Cement and Concrete Association) สภาอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

โดยมีสำนักงานสภานโยบาย การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เป็นผู้ขับเคลื่อน ซึ่งความร่วมมือนี้ มีเป้าหมายเพื่อเร่งทำโรดแมปการสร้างนวัตกรรมที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนที่ดีที่สุดมาใช้ในประเทศไทย เช่น เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS – Carbon Capture, Utilization and Storage) การเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิงจากฟอสซิลเป็นพลังงานทางเลือก (Fuel Switching) พลังงานไฟฟ้า (Electrification) และระบบพลังงานที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง (Hydrogen Economy) คาดว่าจะมีความชัดเจนปลายปีนี้

2.การผนึกกำลังขยายเครือข่ายความร่วมมือสร้างสังคมคาร์บอนต่ำของภาคเอกชน 60 องค์กร ผ่านความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ครอบคลุมมิติด้านพลังงานทางเลือก เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดการบริโภคอย่างยั่งยืน เช่น กลุ่มเครือข่ายความร่วมมือ 23 องค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (CECI-Circular Economy in Construction Industry) และโครงการความร่วมมือ PPP Plastics (Public Private Partnership for Sustainable Plastic and Waste Management) สร้างต้นแบบการจัดการขยะพลาสติก นำกลับมาสู่กระบวนการรีไซเคิล ขับเคลื่อนโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) และพันธมิตรกว่า 30 องค์กร

โดยจากการระดมสมองของภาคเอกชนในครั้งนี้ ได้นำไปสู่ความร่วมมือกับภาครัฐเดินหน้า 10 แนวทางการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ อาทิ โครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน สนับสนุนด้านเงินทุน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สำหรับพลังงานสะอาด การจัดระบบการจัดเก็บขยะที่มีประสิทธิภาพ การส่งเสริมวินัยการคัดแยกขยะตั้งแต่ครัวเรือน รวมถึงสนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยีการพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ งาน ESG Symposium 2022 ยังให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงและกลุ่มคนรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ไขวิกฤตต่างๆ ร่วมกัน เนื่องจากผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในการดูแล จุนเจือครอบครัว รวมถึงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของชุมชน และประเทศชาติ โดยจัดให้มีการแลกเปลี่ยนมุมมอง สร้างแรงบันดาลใจ ให้ผู้หญิงทุกคนมองเห็นศักยภาพในตนเอง

พร้อมพัฒนาทักษะความรู้ ความสามารถในการก้าวผ่านความยากลำบากต่างๆ ในชีวิต มีรายได้ มีอาชีพมั่นคง พึ่งพาตนเองได้ สอดคล้องกับการส่งเสริมบทบาทสตรี ตามวัตถุประสงค์ของการจัดประชุม APEC 2022 Thailand พร้อมชวนสังคมให้เชื่อมั่นในศักยภาพของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวคิด มีความสามารถที่แตกต่างหลากหลาย เป็นพลังช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางทั่วอาเซียน เช่น ตัวแทนเยาวชนจากอินโดนีเซีย ที่พัฒนานวัตกรรมม้วนฟิล์มพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับคนมีรายได้น้อย หรือตัวแทนเยาวชนไทยที่พัฒนาโปรแกรมแปลภาษามือ เพื่อช่วยให้คนพิการใช้ชีวิตได้สะดวกสบายมากขึ้น

“การแก้วิกฤตโลกถือเป็นวาระเร่งด่วนที่ทุกคน ทุกหน่วยงาน ต้องเริ่มลงมือแก้ไขด้วยตนเอง รวมทั้งผนึกกำลังความร่วมมือให้เกิดผลจริง เชื่อมั่นว่าข้อสรุปความร่วมมือจากเวที ESG Symposium 2022 จะได้นำไปปฏิบัติ ให้เกิดผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมและขยายผลในวงกว้างตามแผนงานต่อไป โดยเอสซีจี ยินดีเป็นตัวกลางประสานกับทุกๆ ฝ่าย ไปพร้อมกับเร่งติดตามความคืบหน้า เพราะปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อนคือ โครงการความร่วมมือต่างๆ มีความก้าวหน้า และทุกคนในห่วงโซ่คุณค่าได้รับประโยชน์ เพื่อร่วมสร้างเศรษฐกิจสีเขียวตามแนวทาง BCG และส่งต่อโลกที่ยั่งยืนให้กับลูกหลานต่อไป” นายรุ่งโรจน์ กล่าวสรุป

วันที่ 12 กรกฎาคม 2565 ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ หอการค้าไทย และ ประธานคณะกรรมการแรงงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า

ต้องยอมรับว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ในปัจจุบัน ได้ส่งผล กระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยเป็นวงกว้างทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งต้องยอมรับว่า ทรัพยากรแรงงาน ถือเป็นเครื่องจักรสำคัญของเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ ตั้งแต่ภาคการส่งออก ภาคการผลิต การ แปรรูปสินค้าวัตถุดิบในประเทศ และภาคท่องเที่ยวและบริการ

โดยผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงาน เข้มข้นดังกล่าวยังมีความต้องการใช้แรงงานต่างด้าวในอุตสาหกรรมมากกว่า 5 แสนคน เพื่อรองรับการ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรและอาหารเพื่อการส่งออก อุตสาหกรรมก่อสร้าง และอุตสาหกรรม ท่องเที่ยวและบริการ ในปัจจุบัน ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่สามารถนำเข้าแรงงานต่างด้าว MOU จากประเทศต้น ทางได้ โดยเฉพาะประเทศเมียนมา อีกทั้ง ศักยภาพของศูนย์กักตัว (Quarantine) เพื่อการรองรับแรงงานต่าง ด้าวที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทย ยังมีจำนวนไม่สอดคล้องกับจำนวนความต้องการแรงงานต่างด้าว MOU 3 สัญชาติของผู้ประกอบการ รวมไปถึงระยะเวลาการกักตัวของแรงงานต่างด้าวอาจจะส่งผลให้การใช้ศูนย์กัก ตัวไม่สามารถรองรับได้ต่อเนื่อง

เบื้องต้น หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ร่วมประชุม หารือและขับเคลื่อนในการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวของประเทศไทยอย่าง ร่วมกับกระทรวงแรงงาน กรมการจัดหางาน ซึ่งคณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบเรื่องการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว สัญชาติ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม เพื่อรองรับการฟื้นฟูประเทศ ภายหลังการผ่อนคลายมาตรการป้องกันและ ควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย และกระทรวง แรงงาน จำนวน 15 ฉบับ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 แล้ว

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน กรมการจัดหางาน โดยท่านอธิบดีกรมการจัดหางาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ได้วางแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว สัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม เพื่อรองรับการฟื้นฟูประเทศ โดยจะแถลงรายละเอียดแนวทางการบริหารจัดการการทำงาน ของคนต่างด้าว

ท้ายที่สุดนี้ ในนามหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมการค้าที่ เกี่ยวข้อง ขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านรองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ผู้บริหาร กระทรวงแรงงาน กรมการจัดหางาน และหน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ได้มีมาตรการเชิงรุก ต่างๆ ในการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวของประเทศไทย และแก้ไขปัญหาการแรงงานต่างด้าวใน อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ในสถานการณ์ปัจจุบัน

พร้อมกันนี้ ขอเชิญชวนและประชาสัมพันธ์สมาชิกหอการค้าไทย หอการค้าจังหวัด และ สมาคมการค้าทั่วประเทศ โปรดนำแรงงานต่างด้าวมาขึ้นทะเบียนตามแนวทางการบริหารจัดการการ ทำงานของคนต่างด้าว หากท่านมีข้อสงสัยกรุณาติดต่อ จัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ หรือ ศูนย์มิตรไมตรี โทร. 1694 หรือ สายด่วน: 1506 กด 2