ผมวกมาที่วารสารเคหการเกษตร เขาได้สัมภาษณ์คนรุ่นใหม่หลายต่อหลายคนที่เข้ามาสานต่ออาชีพเกษตรจากพ่อแม่ และหนึ่งในนั้นก็คือ นางสาววราภรณ์ มงคลแพทย์ หรือ “คุณแนน” บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ 1 จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาแปรรูปและความปลอดภัยอาหาร สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร ในฐานะเจ้าของ “บ้านหมากม่วง” ร้านจำหน่ายผลไม้น้องใหม่ที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา
“แนนเห็นพ่อแม่ทำสวนมะม่วงมาตลอด ตอนที่เรียนมัธยมก็คิดอยู่ว่าจะไปสอบคณะอะไรดี แต่ด้วยความที่โตมากับสิ่งนี้ แนนเป็นลูกคนโตถ้าแนนไม่ทำแล้วใครจะทำ ประกอบกับแนนชอบการเกษตรด้วย อยากทำงานเป็นเจ้านายตัวเอง รักความอิสระ ไม่อยากทำงานบริษัท ได้เห็นมะม่วงที่พ่อทำพอถึงฤดูกาลมะม่วงตลาดตายราคาตกต่ำ ลูกที่ผิวไม่สวยขายได้ราคาต่ำมาก ซึ่งที่จริงแล้วเนื้อข้างในก็ยังอร่อย
จึงคิดว่าทำอย่างไรที่จะเพิ่มมูลค่าให้มะม่วงเหล่านี้ได้ ตอนที่เรียน ม.6 ก็เลยลองหาข้อมูล จนเจอคณะที่แนนจบมา ซึ่งตอบโจทก์กับสิ่งที่แนนต้องการมาก ตอนเรียนก็พยายามเอาความรู้ที่ได้มาประยุกต์กับธุรกิจที่แนนจะทำตลอดว่าจะนำความรู้ตรงนี้ไปทำอะไรได้บ้าง ใช้ช่วงเวลาที่เรียนเก็บเกี่ยวความรู้ คอนเน็คชั่นให้มากที่สุด แนนมีเป้าหมายว่าจบออกมาแล้วอย่ากทำเรื่องท่องเที่ยวเชิงเกษตร ได้เห็นตัวอย่างฟาร์มโชคชัย แดรรี่โฮม เป็นโมเดล ก็เลยฝันที่จะทำให้ได้อย่างนี้บ้าง” คุณแนน เปิดเผยถึงแรงบันดาลใจและความฝันที่อยากให้เป็นจริง
ปัจจุบัน “บ้านหมากม่วง” เปิดมาแล้วประมาณ 1 ปี ซึ่งคุณแนนเป็นคนดูแลเองทั้งหมด ทั้งแต่ออกแบบ จนตกแต่งร้าน ฯลฯ ผลผลิตที่ขายในร้านก็มาจากสวนของพ่อแม่ ซึ่งในเชิงธุรกิจยังถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในเรื่องภาพลักษณ์ของแบรนด์ถือว่าลูกค้าเริ่มรู้จัก โดยเฉพาะการได้มาอยู่กับครอบครัวกับพ่อแม่ถือว่าชีวิตมีความสุขแล้ว
นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการพัฒนาต่อยอดอาชีพการเกษตรของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเดิมทีเดียวการเกษตรของเรานั้นมีแต่ผู้สูงอายุ แต่ต่อไปนี้จะมีคนรุ่นใหม่เข้ามาสานต่อมากขึ้น…รายละเอียดทั้งหมดอยากให้หาอ่านจากเคหการเกษตร รวมทั้งเรื่องราวของคนอื่นๆ และสาระความรู้อีกหลากหลายที่พบได้จากหนังสือเล่มนี้
หมายเหตุ-เกษตรก้าวไกล : เวลานี้มีโฆษณาเรื่องพันธุ์อินทผาลัมกันมาก และเกษตรกรหรือคนดังหลายคนหันมาให้ความสนใจ ในขณะที่อีกมุมหนึ่งก็มีคำถามตามมาว่า อนาคตจะยั่งยืนแค่ไหน…”เกษตรก้าวไกล” จึงขอทำหน้าที่เป็นสื่อกลางรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่าย และต่อไปนี้คือมุมมองและข้อคิดเห็นจาก คุณเปรม ณ สงขลา ผู้คลุกคลีกอยู่ในวงการเกษตรในฐานะบรรณาธิการใหญ่วารสารเคหการเกษตร
การผลิตพืชตอบสนองผู้บริโภคยุคโลกกว้างทางแคบในปัจจุบันและอนาคตมีโจทย์ท้าทายมากๆ มีประเด็นฝากให้คิดสำคัญ 3 เรื่องคือ พันธุ์ พื้นที่ที่เหมาะสม และการจัดการ
1-2. เริ่มจากพันธุ์และพื้นที่…อินทผาลัมเป็นพืชเขตุแห้งความชื้นต่ำแบบทะเลทราย นึกภาพทะเลทรายอาหรับ ร้อนแต่คนต้องโพกหัวห่มผ้าเพราะร้อนแห้งผิวคนทนไม่ไหว เคยไปดูแหล่งผลิตอินทผาลัมเมดจูล พันธุ์ดีที่สุดอร่อยที่สุดที่เมืองอลิสสปริง ออสเตรเลีย ที่นั่นร้อนและแห้งแบบทะเลทรายมองไปทางไหนมีแต่ทราย แต่สวยงามอีกแบบ อุดหนุนชนิดแห้งมา 1 กล่อง ขอบอกว่าเนื้อหนาอร่อยจริงๆ นี่คือบ้านของอินทผาลัม
อิสราเอล ผลิตอินทผาลัมส่งออกต้องเขตุเข้ามาลึกด้านใน ส่วนเขตุติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนชื้นเกินไปไม่ดี ทั้งๆที่ห่างกันไม่ไกล
ดังนั้น เมื่อมองประเด็นเรื่องพันธุ์ สภาพพื้นที่ ภูมิอากาศที่เหมาะสม ก็จะทราบว่าอินทผาลัมไม่ใช่พืชสำหรับบ้านเราในแง่การปลูกเพื่อการค้า
3. การจัดการการผลิต…อินทผาลัมเป็นพืชแยกต้นตัวผู้ตัวเมีย ต้องมีการผสมเกสร งานผสมเกสรเป็นงานที่ยากมากๆ โดยเฉพาะเมิ่อต้นโตขึ้นสูงขึ้น การผสมต้องชัดเจนว่าเกสรนั่นมาจากต้นที่ผ่านการคัดเลือกแล้วจึงมาทำการผสมต้นแม่ ผลจึงจะออกมาได้คุณภาพตามต้องการ ไม่หวานบ้างฝาดบ้าง พวกสกุลปาล์มจะมีเรื่องทีเรียก xenia effect หรือเดชบิดา คืออิทธิพลเกสรตัวผู้ส่งผลให้ผลิตคุณภาพเพี้ยนในฤดูนั้นเลยไม่ต้องรอนำมาปลูกให้ออกผล อินทผลัมจะออกผลเก็บเกี่ยวช่วงรามาดรของพี่น้องมุสลิมตรงกับช่วงฝนชุกแม้จะห่อผลช่วยก็ได้ระดับหนึ่งเพราะการห่อไม่สามารถแก้ความชื้นในอากาศได้
อินทผาลัมเป็นผลไม้นอนไคลเมติก ต้องสุกบนต้นจึงจะอร่อย เก็บมาแล้วจะไม่สุกต่อ แนวทางบ้านเราคือการพยายามขายเป็นผลสดซึ่งมีอายุการวางตลาดระยะหนึ่ง เมื่อผลเริ่มเหี่ยวก็หมดความอร่อยเทียบกับผลสดนำเข้าจาก ตูนีเซีย (จริงๆเป็นผลไม้ห้ามนำเข้าแต่มีการลักลอบผ่านแดน) อร่อยต่างกันมาก การขายเป็นผลสุกที่จะต้องเก็บสุกคาต้นซึ่งทำไม่ได้เพราะความชื้นสูงผลจะเน่าก่อนที่จะสุก การเก็บเกี่ยวก่อนต้องมานึ่งให้สุกหรือต้มน้ำตาลกลายเป็นอินทผาลัมเชื่อมน้ำตาล ความอร่อยที่แท้จริงก็หมดไป ตลาดอินทผาลัมของเราเองปัจจุบันจึงต้องขายตลาดล่างมูลค่าลดลงหรือไม่ได้ราคา หวานมากคนก็กลัวโรคเบาหวาน นอกจากนี้ประเด็นด้วงทำลายทั้งด้วงแรด ด้วงงวงในบ้านเรานี้ดุมากๆ อินทผาลัมด้วงงวงชนิดนี้ชอบมากๆ
อนาคตมีข้อจำกัดมาก แต่ก็อยากให้กำลังใจ…
กล่าวโดยสรุปอินทผาลัมพืชต่างถิ่นที่จะมาปลูกในเขตุร้อนแบบไทยของเรานั้น มีข้อจำกัดอยู่มาก ทั้งการผลิตและการตลาด เนื่องจากโลกกว้างทางแคบ โลกกว้างคือของดีจากต่างถิ่นนำเข้ามาดีกว่า ถูกกว่าอร่อยกว่า แล้วเราจะเดินไปอย่างไรในภาพรวมของประเทศ ส่วนในระดับบุคคลอาจจะมีช่องทางคือจำหน่ายต้นพันธุ์สำหรับผู้อยากลอง ซึ่งคนไทยชอบลองเสมอไม่คิดมาก หรือทำเป็นสวนท่องเที่ยวดึงนักท่องเที่ยวเพราะความสวยงาม ความดก มันดึงนักท่องเที่ยวได้ ส่วนตลาดเสรีทั่วไปทางมันแคบมากๆ คล้ายๆกับองุ่นซึ่งเป็นเมดิเตอร์เรเนียนมาปลูกบ้านเราในขณะนี้เหลือรอดแต่สวนเขตุท่องเที่ยวเพื่อผลิตไวน์
ซึ่งเหมาะสำหรับเศรษฐีที่มีความพร้อมมากกว่า องุ่นสวยๆราคาถูกจากถิ่นเดิมอร่อยราคาถูกเข้ามาเต็มตลาด แล้วเราจะสู้ไหวไหม อย่าลืมว่าประเทศไทยพยายามพัฒนาอินทผาลัมมายาวนาน นับแต่สมัยสถานีพืชสวนขอนแก่นมีการรวบรวมอิทผาลัมจากอเมริกามาทดลอง บริษัท บางกอกฟลาวเวอร์ฯ อ.ประมนต์ ธรรมศักดิ์ (นายไปรษณีย์อุดร-น้องอดีตนายกสัญญา ธรรมศักดิ์ สมัย 14 ตุลาคม 16) ก็ผลักดันโครงการอินทผาลัมร่วมกับสวนนงนุช ล้วนต้องล้มเลิกไปทั้งหมด (ติดตามร่องรอยได้)
ในความเห็นผมสำหรับพืชอินทผาลัมพืชต่างถิ่นชนิดนี้ช่องทางสำหรับบ้านเรามันมีช่องเดินที่แคบมากๆสำหรับคนปลูก แต่อยากให้กำลังใจสำหรับผู้ที่สนใจพัฒนาพันธุ์จากพื้นแห้งแล้งเมดิเตอร์เรเนียนให้เป็นพืชร้อนชื้นแบบไทย ไม่ต่างจากการพัฒนาพันธุ์ข้าวจ้าวจาก C3 เป็น C4 ทนแล้งแบบข้าวโพดข้าวฟ่างซึ่งต้องใช้งบหลายพันล้านบาท
จังหวัดกำแพงเพชรเป็นแหล่งผลิตข้าวเปลือกที่สำคัญแห่งหนึ่ง และมีการพัฒนาไปสู่การเป็นแหล่งอุตสาหกรรมแปรรูปข้าวที่สำคัญของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งส่งออกข้าวสารที่สำคัญ มีโรงสีที่ทันสมัยครอบคลุมทั่วพื้นที่ มีกำลังการผลิตมาก สามารถรองรับผลผลิตจากจังหวัดอื่นได้อย่างเพียงพอ รวมทั้งการรับจ้างผลิตข้าวส่งออกไปต่างประเทศเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพนำไปสู่การพัฒนาเป็นผู้ส่งออกระดับประเทศได้เอง และขณะนี้มีการส่งออกไปต่างประเทศที่สำคัญ คือ ประเทศจีน สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน อิสราเอล รัสเซีย อิหร่าน เป็นต้น
ศักยภาพของเมืองกำแพงเพชรเป็นพื้นที่มีดินดี น้ำดี ป่าสมบูรณ์ และเป็นที่มาของการกำหนด วิสัยทัศน์การพัฒนาจังหวัดที่ว่า “ผู้นำการผลิต และแปรรูปเกษตรปลอดภัย และการท่องเที่ยวถิ่นมรดกโลก” จนเป็นที่มาของแนวความคิดที่จะยกระดับจังหวัดกำแพงเพชรให้เป็นแหล่งผลิตข้าวปลอดสารพิษที่สำคัญของประเทศ
ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรกำแพงเพชร จำกัด จึงริเริ่มบุกเบิกตลาดข้าวปลอดสารพิษ ซึ่งที่ผ่านมา ชุมนุมฯ ทำหน้าที่รวบรวมผลผลิตข้าวจากสหกรณ์ต่างๆ มาเข้าสู่กระบวนการแปรรูป สีเป็นข้าวสารจำหน่ายสู่ตลาด ต่อมาในปี 2557 ชุมนุมฯมีแนวคิดที่จะผลิตข้าวปลอดสารพิษจำหน่าย จึงเชิญชวนสหกรณ์ในกำแพงเพชร 35 แห่งที่เป็นสมาชิกของชุมนุมฯ คัดเลือกเกษตรกรมาเข้าร่วมโครงการ เนื่องจากเล็งเห็นว่า เกษตรกรใช้สารเคมีในการปลูกข้าว เพราะต้องการปริมาณผลผลิตจำนวนมากๆ ทำให้เกษตรกรใช้สารเคมีที่มีอันตรายสูง ส่งผลทำให้ต้นทุนการผลิตต่อไร่ก็สูงตามด้วย เมื่อขายข้าวแล้วเกษตรกรหักลบรายได้กับต้นทุน แทบไม่เหลือกำไร ขณะเดียวกันสารเคมีก็ส่งผลทำร้ายต่อร่างกายชาวนาและผู้บริโภคที่ซื้อข้าวไปกิน
นายพิชิต เกษสุวรรณ์ ผู้จัดการชุมนุมสหกรณ์การเกษตรกำแพงเพชร จำกัด ซึ่งได้ริเริ่มโครงการดังกล่าว เปิดเผยว่า ระยะเริ่มต้นโครงการทางชุมนุมฯได้เพิ่มสายการผลิตข้าวปลอดสารพิษ โดยเริ่มจากข้าวหอมมะลิเป็นหลัก จากนั้นจึงผลิตข้าวหอมนิลและข้าวไรซ์เบอรี่มาเพิ่มเติม โดยจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิตข้าวปลอดสารพิษแก่เกษตรกร เชิญตัวแทนนักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้านมาให้ความรู้
เพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการปลูกข้าวให้มีคุณภาพ มีการกำหนดตารางการทำนาในแต่ละช่วงเวลา มีข้อกำหนดให้ปฏิบัติตามหลักวิชาการ จนถึงการเก็บเกี่ยว ทุกขั้นตอนจะมีเจ้าหน้าที่การเกษตรเข้าไปติดตามดูแลใกล้ชิด ซึ่งการปราบศัตรูของข้าวจะใช้น้ำหมัก ยาสูบ น้ำส้มควันไม้ ส่วนหนึ่งสมาชิกสามารถผลิตไว้ใช้เองได้ ซึ่งในการปลูกข้าวหอมมะลิหากใช้สารเคมี จะได้ผลผลิตประมาณ 400 กก.ต่อไร่ แต่เมื่อใช้สารชีวภาพจะได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็นไร่ละ 500-700 กก. ตลอดระยะเวลาของการบุกเบิกโครงการ กรมการข้าวจะเข้ามาอบรมให้ความรู้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจแปลงและเก็บตัวอย่างข้าวไปตรวจสอบตามมาตรฐาน GAP
“การรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ทางชุมนุมฯ ให้ราคาที่สูงกว่าตลาด ทำให้เกษตรกรสนใจ เข้าร่วมโครงการประมาณ 200 กว่าราย แบ่งการผลิตข้าวปลอดสารพิษเป็นข้าวขาวกข. ข้าวหอมมะลิและข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวหอมนิล และให้เครดิตแก่สมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ สามารถกู้ยืมปัจจัยการผลิต วัสดุทางการเกษตร ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ และยาพ่นชีวภาพ เพื่อนำไปปลูกก่อน แล้วค่อยส่งใช้คืนเมื่อนำข้าวมาขายให้ทางชุมนุม แต่ละปีจะรวบรวมข้าวปลอดสารพิษเข้าสู่โรงสีแปรรูปเป็นข้าวสารจำหน่ายได้ประมาณ 1,500 ตัน”
การประชาสัมพันธ์สินค้าก็นับว่าเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยขยายตลาดข้าวปลอดสารพิษให้เข้าถึงผู้บริโภค ในขณะที่กระแสนิยมของคนรักสุขภาพ เริ่มหันมาให้บริโภคอาหารที่ปลอดภัยและช่วยรักษาสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน การประชาสัมพันธ์ข้อมูลเรื่องข้าวปลอดสารพิษผ่านทาง Website ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก ต่อมาทางชุมนุมฯจึงเริ่มขยายช่องทางโปรโมทสินค้าผ่าน Facebook เนื่องจากเห็นว่าจะเป็นช่องทางในการสื่อสารเรื่องราวต่างๆ ได้เข้าถึงลูกค้า และสามารถกำหนดได้ว่าอยากให้ลูกค้ามองสินค้าชนิดนี้อย่างไร
ซึ่งจะต้องมีการใส่ข้อมูลต่าง ๆ ที่สม่ำเสมอ มีการสอดแทรกงานวิจัยเรื่องข้าว ประโยชน์ของข้าวกับสุขภาพ มีเกร็ดความรู้เรื่องข้าวแต่ละชนิดมาเสริม มีการลงพื้นที่ไปถ่ายภาพในแปลงนาของเกษตรกรให้ลูกค้าได้เห็นกระบวนการผลิตของจริง ให้รู้ว่ากว่าจะได้ข้าวแต่ละเมล็ด มีรายละเอียดขั้นตอนการผลิตการผลิตมากมาย ให้ลูกค้ารู้ถึงที่มาที่ไปของสินค้า รู้ว่าข้าวแต่ละเมล็ดนั้นชาวนาปลูกเอง สหกรณ์สีเองและส่งตรงถึงผู้บริโภค ทำให้เกิดการเชื่อมั่นและการยอมรับในข้าวปลอดสารพิษของชุมนุมสหกรณ์ฯมากยิ่งขึ้น
“การประชาสัมพันธ์ข้าวปลอดสารพิษผ่านทาง Facebook นับว่าเป็นช่องทางที่ดีที่สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ เน้นกลุ่มคนรักสุขภาพ คนที่ชอบทำอาหารและบริโภคอาหาร Organic ซึ่งการที่สหกรณ์ไม่ต้องไปเสียค่าวางจำหน่ายบนห้าง และใช้สื่อ Social ซึ่งมีต้นทุนไม่มากนักมาช่วยขยายตลาด ทำผู้บริโภคทุกระดับสามารถซื้อข้าวปลอดสารพิษไปรับประทานได้ เป็นการทำธุรกิจเพื่อสังคม ที่ช่วยสร้างทัศนคติของลูกค้าให้รู้สึกว่าทุกคนสามารถบริโภคข้าวดีได้ในราคาที่ไม่แพง” ผู้จัดการชุมนุมสหกรณ์การเกษตรกำแพงเพชร จำกัด
ขณะที่ในปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มเรียนรู้และนิยมสั่งซื้อสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ผู้บริโภคจึงสนใจสั่งซื้อ ข้าวปลอดสารพิษ 100 % บรรจุถุงสุญญากาศขนาดถุงละ 1 กิโลกรัม ผ่านทาง Facebook และทางชุมนุมฯจะจัดส่งสินค้าผ่านบริษัทขนส่งสินค้าเอกชน เพียงวันเดียวข้าวปลอดสารพิษของสหกรณ์จะถูกจัดส่งถึงหน้าบ้าน ทำให้ได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าอย่างล้นหลาม ซึ่งลูกค้าจะแบ่งเป็นสองช่วงอายุ 25-40 ปี นิยมเป็นวัยที่ดูแลสุขภาพ และออกกำลังกาย ส่วนผู้สูงอายุจะนิยมข้าวกล้อง
ซึ่งทางชุมนุมฯได้พยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เน้นการผลิตที่ได้มาตรฐานปลอดภัยและห่วงใยสุขภาพของคนรับประทาน และพัฒนาเมล็ดข้าว ไม่ให้มี สิ่งปลอมปน มีขนาดของเมล็ดที่เท่าๆ กัน และมีสีที่สม่ำเสมอกัน ด้วยความเชื่อที่ว่าการขายสินค้าดีมีคุณภาพจะส่งผลต่อธุรกิจที่ยั่งยืน ทำให้ยอดขายข้าวไรซ์เบอรี่ผ่านทาง Facebook ของชุมนุมสหกรณ์การเกษตรกำแพงเพชร จำกัด มียอดจำหน่ายสูงสุดลำดับต้นๆ ของประเทศ
การขายข้าวผ่านทาง Facebook จึงเป็นมิติใหม่ของตลาดสารของสหกรณ์ ทำให้มีลูกค้าใหม่ๆ สนใจสอบถามกันมากขึ้น และใช้ช่องทาง Facebook สื่อสารโดยตรงกับผู้ขาย ส่งข้อความสอบถามและมีการโต้ตอบได้ทันที เป็นการสื่อสารที่เข้าถึงตรงตัว และเปิดรับคำติชมต่างๆ จากลูกค้า เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาสินค้าให้ดียิ่งขึ้น ตามที่ลูกค้าต้องการ
หากใครผ่านไปทางภาคเหนือ อยากจะแวะเวียนไปเยี่ยมชมและเลือกซื้อข้าวปลอดสารพิษของทางชุมนุมสหกรณ์การเกษตรกำแพงเพชร จำกัด สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.055-840688 หรือเลือกซื้อสินค้าผ่านทาง
งานแสดงเทคโนโลยี นวัตกรรม เครื่องจักรกลการเกษตรครบวงจร หรือ “งานอะกริเทคนิก้า เอเชีย 2017” (AGRITECHNICA ASIA 2017) ซึ่งเป็นงานแสดงเทคโนโลยีเครื่องจักรเกษตรที่ใหญ่ที่สุดของโลก พร้อมเปิดตลาดเอเชียเป็นครั้งแรก โดยเลือกจัดงานที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางการค้าของทวีปเอเชีย กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 15-17 มีนาคม พ.ศ. 2560 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมนานาชาติ ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ พิเศษยิ่งกว่าสำหรับปีแรกของการจัดงาน อะกริเทคนิก้า เอเชีย 2017 จะจัดคู่ขนานกับงานวิฟ เอเชีย 2017 (VIV ASIA 2017) ซึ่งเป็นงานนิทรรศการสำหรับอุตสาหกรรมปศุสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และงาน ฮอร์ติ เอเชีย 2017 (Horti ASIA 2017) งานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพืชพรรณ ผัก ผลไม้ ดอกไม้ และกล้วยไม้ ระดับนานาชาติ เรียกได้ว่าเป็นสัปดาห์ธุรกิจของคนในวงการเกษตรและปศุสัตว์อย่างแท้จริง
ผู้ประกอบการจักรกลเกษตรโลกเข้าร่วมงาน
งานอะกริเทคนิก้า เอเชีย 2017 จัดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจการเกษตรระดับนานาชาติเพื่อนำเสนอเทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสมกับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยจัดแสดงเครื่องจักรกลการเกษตร จากผู้ผลิตในภูมิภาคยุโรป ทั้งนี้ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรจะคัดสรรเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับพื้นที่การเกษตรของตลาดเอเชีย ซึ่งมีบริษัทชั้นนำระดับโลกร่วมสนับสนุนการจัดงานอย่างเป็นทางการ ได้แก่ AGCO / Massey Ferguson, CLAAS, Fliegl, LOVOL, Maschio Gaspardo และ PÖTTINGER ล้วนเป็นบริษัทที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยีการเกษตรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งจะนำผู้เชี่ยวชาญมาแนะแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการเกษตรให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ชมงานทุกท่าน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการได้ตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาดและพัฒนาบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ประชุมนานาชาติ-เทคโนโลยีเกษตรในเอเชีย
องค์กรการเกษตรแห่งเยอรมัน (ดีแอลจี) ได้เตรียมการประชุมนานาชาติพร้อมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในวงการเกษตรจากประเทศต่างๆ มานำเสนอเทคนิคขั้นสูงโดยมุ่งเน้นภาคปฏิบัติ สาธิต การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรกลการเกษตร เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตการปลูกข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง ซึ่งงานอะกริเทคนิก้า เอเชีย ยังได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากบริษัท CLAAS ผู้ผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรชั้นนำของโลก ร่วมจัดประชุมในหัวข้อ “แนวโน้มของเทคโนโลยีการเกษตรในเอเชีย” เพราะเล็งเห็นว่าในปัจจุบันเกษตรกรมีความจำเป็นที่จะต้องลดต้นทุนการผลิตเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนแรงงานและการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดโลก นำไปสู่การปรับใช้เครื่องจักรกลการเกษตรมากขึ้น โดยอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่และความก้าวล้ำทางวิศวกรรมการเกษตรมาช่วยพัฒนาธุรกิจเกษตรของตลาดในเอเชีย
ภายในงานนิทรรศการจะมีการจัดแสดงเครื่องจักรกลการเกษตร ครบทุกขั้นตอนตั้งแต่การเตรียมดิน เพาะปลูก ระบบน้ำ เก็บเกี่ยวผลผลิต ตลอดจนการเก็บรักษา ขนส่ง และการผลิตพลังงานทดแทน นอกจากนั้นยังมีพาวิลเลี่ยนจากประเทศต่างๆ ที่พร้อมนำเทคโนโลยีการเกษตรชั้นนำมารวมจัดแสดงงาน อาทิ ประเทศจีน ประเทศเดนมาร์ก และพาวิลเลี่ยนที่จัดแสดงชิ้นส่วนและอะไหล่เครื่องจักรกลการเกษตร พาวิลเลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตพลังงานทดแทน ซึ่งเป็นการนำชีวมวลมาเปลี่ยนให้เป็นให้เป็นแก๊สเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในอุตสาหกรรมการเกษตร
เหตุผลที่องค์กรชั้นนำร่วมจัดงาน และผลดีที่จะเกิดขึ้น
ในส่วนของผู้จัดงาน นายปีเตอร์ โกลว์เทิร์น กรรมการผู้จัดการ องค์กรเกษตรแห่งเยอรมนี (ดีแอลจี) กล่าวว่า “สามเหตุผลหลักที่ทางองค์กรเกษตรแห่งเยอรมนี (ดีแอลจี) ร่วมมือสร้างเวทีอุตสาหกรรมการเกษตรสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างเช่น งาน อะกริเทคนิก้า เอเชีย คือ (1) ตลาดที่กำลังเติบโตและและมีความสนใจสูงในด้านเทคโนโลยีและเครื่องจักรกลการเกษตร (2) ทั่วโลกรู้จักแบรนด์ “AGRITECHNICA” กับเครือข่ายขององค์กรเกษตรแห่งเยอรมนี และ (3) ด้วย ชื่อเสียงของ วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค ด้านการจัดงานนิทรรศการและงานประชุม ความร่วมมือของเราจะพัฒนาไปสู่การขยายตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรในระยะยาว และสร้างโอกาสที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญไปยังผู้สนใจทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรที่มาจากประเทศไทยและประเทศในกลุ่มอาเซียน อีกทั้ง ยังช่วยในการพัฒนาธุรกิจการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรเกษตรแห่งเยอรมนี (ดีแอลจี) เป็นผู้ผลักดัน”
การร่วมมือกันในครั้งนี้จะเป็นการผนวกความชำนาญของทั้งทาง ดีแอลจี (DLG) และ วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค (VNU Exhibitions Asia Pacific) “ในบริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค (VNU Exhibitions Asia Pacific) เราประสบความสำเร็จจากการพัฒนางานร่วมกันกับทางผู้จัดงานแสดงสินค้าจากประเทศเยอรมนี การทำงานร่วมกับ ดีแอลจี (DLG) จะทำให้เกิดเวทีทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือสำหรับภูมิภาคเอเชีย สิ่งที่สำคัญที่สุด เราสามารถรวมอุตสาหกรรมต่างๆ เข้าไว้ภายในงานเดียว จากจุดเริ่มต้นของตลาดไปสู่สิ่งที่ลูกค้าต้องการได้อย่างสมบูรณ์” นายนิโน กรุตต์เก กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด (Mr. Nino Gruettke, Managing Director of VNU Exhibitions Asia Pacific) กล่าว
ด้านนางสาวปาริฉัตร เศวตเศรณี ผู้อำนวยการ ฝ่ายการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า “ทีเส็บในฐานะหน่วยงานภาครัฐอันมีพันธกิจหลักในการเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนการจัดงาน AGRITECHNICA ASIA 2017 งานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีเครื่องจักรกลด้านเกษตรกรรมแห่งเอเชีย โดยมีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 15-17 มีนาคม 2560 เป็นครั้งแรก ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
ทีเส็บเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนด้านการทำตลาดต่างประเทศ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ซื้อที่มีคุณภาพให้ตรงกลุ่มเป้าหมายของงาน ซึ่งคาดการณ์ว่าการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นการกระตุ้นให้นักลงทุน ผู้ซื้อ ผู้ประกอบการชั้นนำจากต่างทวีป และผู้เข้าชมงานกว่า 8,000 คน เข้าร่วมงาน จากความร่วมมือกันระหว่าง 2 ผู้จัดทั้งไทยและเยอรมนี นับเป็นการเริ่มต้นเปิดการค้าและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีจากทวีปยุโรปสู่เอเชียอย่างแท้จริง เกิดการลงทุนและการเจรจาธุรกิจ ช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในการเป็นศูนย์กลางของธุรกิจไมซ์ระดับภูมิภาคที่เชื่อมโยงธุรกิจสู่ความสำเร็จระดับโลก โดยการจัดงานครั้งนี้ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายนักเดินทางกลุ่มไมซ์ในปี 2560 ด้วยจำนวนนักเดินทางกลุ่มไมซ์ 1,109,000 คน สร้างรายได้ 101,000 ล้านบาท
เชิญผู้ซื้อรายใหญ่ทั่วเอเชียเข้าร่วมงาน
นอกจากการแสดงเทคโนโลยีการเกษตรจากบริษัทชั้นนำแล้ว ผู้จัดยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเชิญผู้ซื้อรายใหญ่ทั่วภูมิภาคเอเชียมาร่วมงาน ภายใต้แคมเปญ Hosted Buyer Program เตรียมการรองรับผู้บริหารและแขกผู้มีเกียรติจากบริษัทชั้นนำมากกว่า 150 คนทั่วเอเชีย โดยมอบอภินันทการห้องพักรับรองตลอดระยะเวลาการเข้าชมงานที่จัดขึ้นที่กรุงเทพ เพื่อยกระดับธุรกิจการเกษตรแห่งเอเชียให้เป็นส่วนหนึ่งในเครือข่ายธุรกิจระดับโลก นอกจากนั้นในงานแสดงครั้งนี้เกษตรกรจะได้พูดคุย แบ่งปันองค์ความรู้มากมายจากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการเกษตรจากนานาประเทศอีกด้วย ท่านที่สนใจสามารถส่งใบสมัครเพื่อร่วมโครงการได้ที่ buyer@agritechnica-asia.com หรือติดต่อทีมจัดงานได้ที่ www.agritechnica-asia.com/visiting เปิดรับสมัครตั้งตั้งวันนี้ ถึง 15 ธันวาคม 2559 เท่านั้น
อนึ่ง ดีแอลจี องค์กรการเกษตรแห่งเยอรมัน เป็นองค์กรอิสระและไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง มีเครือข่ายขนาดใหญ่ทั่วโลก ดำเนินกิจกรรมที่ไม่แสวงหากำไรในประเทศกลุ่มเกษตรที่สำคัญ องค์กรจะทำหน้าที่ในฐานะที่ปรึกษาเพื่อช่วยพัฒนาส่งเสริมกิจกรรมให้ประสบความสำเร็จและส่งเสริมการขยายตัวของธุรกิจระหว่างประเทศสำหรับบริษัทต่างประเทศที่พร้อมมาลงทุนโดยผ่านทางงานนิทรรศการเชิงธุรกิจ สนับสนุนการหาตลาดใหม่ที่เหมาะสมโดยความร่วมมือกันของพันธมิตรในระดับท้องถิ่น
การจัดงาน อะกริเทคนิก้า เอเชีย ครั้งนี้ คาดว่าจะมีบริษัทชั้นนำทั้งจากเอเชียและยุโรปมากกว่า 221 บริษัท นำแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตร พร้อมรองรับผู้เข้าชมงานและผู้ประกอบการที่มุ่งมั่นนำเสนอแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรให้กับภูมิภาคเอเชีย มากกว่า 8,000 คน บนพื้นที่จัดแสดงงานกว่า 7,550 ตารางเมตร โดยเฉพาะทางด้านบริษัทชั้นนำที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรกลการเกษตรทุกภาคส่วนที่มีความต้องการขยายตลาดสู่ระดับนานาชาติจะมาร่วมงานครั้งนี้
ธ.ก.ส. เร่งจ่ายเงินชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ตามโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2559/60 นำร่องจ่ายแล้ว 2 จังหวัด พิจิตรและขอนแก่น
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่าตามที่รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2559/60 ไร่ละ 1,000 บาท รายละไม่เกิน 10 ไร่ ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.– 31 ต.ค. 2559 และภาคใต้ไม่เกินวันที่ 31 ธ.ค. 2559 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
10 ขั้นตอน…15-20 วันได้เงินแน่
การจ่ายเงินในครั้งนี้เป็นไปตามขั้นตอนการดำเนินโครงการฯ ประกอบไปด้วย 1. ประชุมทางไกลเพื่อชี้แจงแนวทางการดำเนินโครงการฯ แก่คณะกรรมการฯ ระดับจังหวัด กรุงเทพมหานคร นายอำเภอ และพนักงาน ธ.ก.ส. 2. ประชุมชี้แจงการดำเนินโครงการฯ ให้แก่ คณะกรรมการฯ ระดับหมู่บ้าน/แขวง/เทศบาล 3. ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการฯ 4. เกษตรกรลงทะเบียนแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ 5. ปิดประกาศข้อมูลผู้แสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ 6. ประชุมประชาคมเพื่อยืนยันและรับรองสิทธิ์ 7. คณะกรรมการระดับอำเภอ/เขต ตรวจสอบข้อมูล 8. ธ.ก.ส. สาขา บันทึกข้อมูล 9. ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ ประมวลผล และ 10. โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรและรายงานผล โดยกระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาในการดำเนินการประมาณ 15-20 วัน
พิจิตรและขอนแก่น ได้เงินแล้ว
นายลักษณ์กล่าวว่า ปัจจุบันมีสำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ และได้จ่ายเงินให้กับเกษตรกรไปแล้ว คือ สำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดพิจิตร จ่ายเงินให้กับชาวนาไปแล้ว 343 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 3.2 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2559 และสำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดขอนแก่นที่พร้อมจ่ายในวันจันทร์ที่ 19 กันยายน 2559 อีกจำนวน 1,530 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 11.7 ล้านบาท สำหรับจังหวัดอื่น ๆ ก็จะได้ดำเนินการทยอยจ่ายเงินตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2559 เป็นต้นไป คาดว่าจะจ่ายเงินให้ชาวนาได้ครบถ้วนปลายเดือนตุลาคม 2559 ยกเว้นภาคใต้ที่เริ่มฤดูการทำนาช้ากว่าภาคอื่น ๆ
“หากเกษตรกรท่านใดยังไม่มีรายชื่อในแบบรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการตามที่ติดประกาศไว้ขอให้ไปขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2559/60 กับเกษตรอำเภอก่อน เพราะการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้ ได้นำรายชื่อเกษตรกรตามมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้มีรายได้น้อย ปี 2557ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปี 2557/58 มาใช้เป็นฐานข้อมูลเบื้องต้นในโครงการดังกล่าว ทั้งนี้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการต้องดำเนินการเพาะปลูกข้าวตามที่รับรองไว้ หากไม่ดำเนินการต้องคืนเงินที่ได้รับไว้ในโครงการฯ ทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข” นายลักษณ์กล่าว.
ผศ.ดร.กัมปนาท เพ็ญสุภา ผอ.ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) และ ดร.ภูมิศักดิ์ ราศรี ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร (KU – OAE Foresight Center : KOFC) ได้วิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบการผลิตครั้งใหญ่ที่ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่เรียกว่า “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” (4th Industrial Revolution) กำลังจะ มาถึงในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent) พันธุวิศวกรรม (Genetics) นาโนเทคโนโลยี การพิมพ์สามมิติ และไบโอเทคโนโลยี
เทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนแต่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการผลิตและการจ้างงานประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกในอนาคตที่ส่งผลกระทบต่อแต่ละประเทศโดยเป็น “กระแสร่วม” ที่โลกกำลังดำเนินไปในอนาคตในทิศทางเดียวกันหรือเรียกว่า 5 เมกะเทรนด์ ได้แก่ 1) ความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยี 2) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร 3) การเปลี่ยนขั้วอำนาจเศรษฐกิจของโลก 4) การขยายตัวของชุมชนเมือง และ 5) การขาดแคลนทรัพยากรและการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงกระแสโลกในอนาคตและการเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับนโยบายที่จะผลักดันเศรษฐกิจทั้งระบบ ทั้งอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจระดับรากฐานของประเทศ
ประเทศไทย จึงประกาศนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ด้วยนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” คือ การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนา คือ เปลี่ยนจากการทำปริมาณมากแต่ได้ผลน้อย เป็นการทำปริมาณน้อยแต่ได้ผลมาก ซึ่งต้องอาศัยกระบวนทัศน์ในการพัฒนา 3 เรื่อง คือ 1) เปลี่ยนจากการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่สินค้าเชิงนวัตกรรม 2) เปลี่ยนจากการขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และ 3) เปลี่ยนจากภาคการผลิตสินค้าไปสู่ภาคบริการมากขึ้น ซึ่งแตกต่างกับนโยบาย “ประเทศไทย 3.0” ในปัจจุบันที่เน้นอุตสาหกรรมหนักและทำให้ประเทศไทยติดอยู่ใน 3 กับดัก คือ รายได้ปานกลาง ความเหลื่อมล้ำ และความไม่สมดุลในการพัฒนา
สำหรับความพร้อมของภาคการเกษตร 4.0 เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ “ภายใต้
โมเดลไทยแลนด์ 4.0” ภาคการเกษตรควรให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมบุคลากรสู่การเป็น Smart Officer และพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรสู่การเป็น Smart Farmer และ Young Smart Farmer ที่มีความก้าวหน้าในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตและการตลาด มีการติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการนำข้อมูลข่าวสารด้านการเกษตรมาประยุกต์ใช้ในการเกษตรของตนเองมากขึ้น
หากในอนาคตนโยบาย “โมเดล ไทยแลนด์ 4.0 ”ประสบผลสำเร็จในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และภาคเกษตรสามารถพัฒนาเกษตรกรให้มีระดับมาตรฐานความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตดีสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนตามที่วางแผนไว้ ภาครัฐไม่จำเป็นต้องกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและโอบอุ้ม เกษตรกรอย่างที่เป็นมาในอดีต
การคัดกรองเกษตรกรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็น Smart Farmer นั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณา 2 ประเด็นหลัก คือ รายได้ของครัวเรือนเกษตรไม่ต่ำกว่า 180,000 บาท/ปีและมีคุณสมบัติพื้นฐาน 6 ข้อ ดังตาราง
ตาราง หลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกเกษตรกรที่เป็น Smart Farmer แบ่งตามคุณสมบัติพื้นฐาน 6 ข้อ ทั้งนี้ เมื่อประเมินคุณสมบัติของเกษตรกรแล้ว ผ่านทั้งคุณสมบัติด้านรายได้ และคุณสมบัติพื้นฐานครบทั้ง 6 ข้อ โดยผ่านตัวบ่งชี้อย่างน้อย 1 ตัวในแต่ละคุณสมบัติเกษตรกรรายนั้นจะอยู่ในกลุ่ม Existing Smart Farmer แต่หากไม่ผ่านคุณสมบัติด้านรายได้หรือคุณสมบัติพื้นฐานหรือทั้งสองคุณสมบัติเกษตรกรรายนั้นจะอยู่ในกลุ่ม Developing Smart Farmer
อย่างไรก็ตาม เพื่อสะท้อนภาพสถานการณ์จริงในระดับครัวเรือน ภาควิชาเศรษฐศาสตร์และทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ลงพื้นที่สำรวจในหัวข้อเรื่อง “ข้อจำกัดและศักยภาพของการทำฟาร์มแบบปราดเปรื่องและความรับผิดชอบของเกษตรกรในจังหวัดลพบุรี” โดยทำการสัมภาษณ์เกษตรกร จำนวน 741 ราย มีรายละเอียดของผลการศึกษา ดังนี้
Existing Smart Farmer มีจำนวน 87 ราย มีลักษณะดังนี้
ด้านข้อมูลพื้นฐานพบว่า เกษตรกรมีอายุ เฉลี่ย 56.4 ปี ประสบการณ์การประกอบอาชีพด้านการเกษตรของผู้มีอำนาจตัดสินใจเฉลี่ย 32.4 ปี จำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 4.1 คน จำนวนสมาชิกครัวเรือนที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปเฉลี่ย 0.4 คน แรงงานเกษตรแบบเต็มเวลาเฉลี่ย 1.6 คน แรงงานเกษตรแบบไม่เต็มเวลาเฉลี่ย 0.9 คน และเป็นสมาชิกกลุ่มการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตร้อยละ 22.1
ด้านพื้นที่การเกษตร พบว่า เกษตรกรมีค่าเฉลี่ยพื้นที่ทำการเกษตรในเขตชลประทาน 29.2 ไร่ เป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ 28.9 ไร่ และเป็นพื้นที่ว่างเปล่า 0.3 ไร่ มีพื้นที่เกษตรนอกเขตชลประทาน 22.7 ไร่ เป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ 21.7 ไร่ และเป็นพื้นที่ว่างเปล่า 1.0 ไร่
ด้านรายได้และรายจ่ายครัวเรือน พบว่า เกษตรกรมีค่าเฉลี่ยรายได้ภาคเกษตร 372,703 บาท/ปี รายจ่ายภาคเกษตร 115,490 บาท/ปี รายได้ภาคเกษตรสุทธิ 257,213 บาท/ปี รายได้นอกภาคเกษตร 146,149 บาท/ปี รายจ่ายนอกภาคเกษตร 257,056บาท/ปี รายได้นอกภาคเกษตรสุทธิ -110,906 บาท/ปี และมีรายได้ครัวเรือนสุทธิ 146,307 บาท/ปี
ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ พบว่า เกษตรกรมีคอมพิวเตอร์และระบบอินเทอร์เน็ตในครัวเรือนจำนวน 26 ราย คิดเป็นร้อยละ 29.9 และใช้ smart phone ในการหาข้อมูลทางด้านการเกษตร จำนวน 16 ราย คิดเป็นร้อยละ18.4
Developing Smart Farmer มีจำนวน 654 ราย สมัครยูฟ่าเบท มีลักษณะ ดังนี้ ด้านข้อมูลพื้นฐาน พบว่า เกษตรกรมีอายุ เฉลี่ย 56.1 ปี ประสบการณ์การประกอบอาชีพด้านการเกษตรของผู้มีอำนาจตัดสินใจเฉลี่ย 32.7 ปี จำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 4.2 คน จำนวนสมาชิกครัวเรือนที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปเฉลี่ย 0.4 คน แรงงานเกษตรแบบเต็มเวลาเฉลี่ย 1.7 คน แรงงานเกษตรแบบไม่เต็มเวลาเฉลี่ย 0.9 คนและเป็นสมาชิกกลุ่มการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตร้อยละ 13.2