กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส เปิดเผยถึง ภาพรวมของตลาด

เครื่องจักรกล การเกษตรของไทยช่วงครึ่งปีแรกว่า มีการเติบโตขึ้น 4-5% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชหลักของประเทศ ส่งผลทำให้ความต้องการเครื่องจักรกลการเกษตรเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนของสยามคูโบต้านั้นก็มียอดขายแทรกเตอร์ที่เพิ่มขึ้นถึง 16% เมื่อเทียบกับปี 2561 นอกจากนี้เรายังได้มีพัฒนาเครื่องจักรกลการเกษตรที่หลากหลายมากขึ้น เน้นกระบวนการทำงานและการแก้ปัญหาด้านการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ตลอดจนมีขั้นตอนการจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพและครบวงจร จึงทำให้ผลการดำเนินงานของเราเติบโตไปตามเป้าที่วางไว้

“สยามคูโบต้าดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายเกษตร 4.0 ของรัฐบาล โดยมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำนวัตกรรมการเกษตรเพื่ออนาคต ด้วยสินค้าและบริการแบบครบวงจร พร้อมทั้งคิดค้นนวัตกรรมการเพาะปลูกที่มีประสิทธิภาพและความแม่นยำ ตลอดจนพัฒนาในด้านสินค้า อะไหล่ บริการหลังการขาย และเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย รวมถึงนำ IoT (Internet of Things) มาใช้ในระบบบริหารจัดการเครื่องจักรเพื่อสอดรับยุคดิจิทัล อาทิ ระบบ Kubota Intelligence Solutions (KIS)

พร้อมทั้งดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์แก่เกษตรกรไทย ได้แก่ โครงการเกษตรปลอดการเผา หรือ ZERO Burn โดยร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เผยแพร่การทำเกษตรปลอดการเผา โดยตั้งเป้าให้พื้นที่ภาคการเกษตรของไทยกว่า 140 ล้านไร่ ปลอดการเผา 100% ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร การลงพื้นที่รณรงค์กลุ่มเกษตรกร และเมื่อไม่นานมานี้ได้มีการจัดงานสัมมนา Agri Forum 2019 เกษตรปลอดการเผา ซึ่งมีเกษตรกรให้ความสนใจเข้าร่วมงานกว่าพันคน

สำหรับความคืบหน้าการก่อตั้งคูโบต้าฟาร์ม เพื่อเป็นฟาร์มสร้างประสบการณ์เกษตรสมัยใหม่ของภูมิภาคอาเซียน บนเนื้อที่มากกว่า 220 ไร่ โดยใช้นวัตกรรมเกษตรครบวงจร เพื่อยกระดับให้เป็นเกษตรแม่นยำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และให้ผลลัพธ์คุ้มค่าทุกตารางเมตร รวมถึงบริหารจัดการรายได้อย่างยั่งยืน เพื่อนำพาภูมิภาคอาเซียนไปสู่เกษตรยุคใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ

คูโบต้าฟาร์มตั้งอยู่ที่ จ.ชลบุรี โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 ขณะนี้แล้วเสร็จกว่า 40% ใช้งบลงทุนไป 30 ล้านบาท ในการก่อสร้างเฟสแรก ซึ่งได้รับการตอบรับทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมศึกษาดูงานแล้วกว่า 4,000 ราย ทางสยามคูโบต้าคาดว่าจะสามารถเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบได้ในปี 2563 โดยมีแผนพัฒนาเฟส 2 และ 3 ให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2568

นายพิษณุ มิลินทานุช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการทั่วไป สายงานขาย การตลาดและบริการ เปิดเผยว่า ปีนี้สยามคูโบต้าเป็นส่วนหนึ่งในการรวมพลังเชียร์นักกีฬาไทย โดยร่วมเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการให้กับทัพช้างศึก ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย เปิดตัวสินค้ารุ่นพิเศษภายใต้ชื่อ CHANGSUEK EDITION ประกอบด้วย แทรกเตอร์ รถเกี่ยวนวดข้าว และรถขุดขนาดเล็ก ชูเอกลักษณ์ความแข็งแกร่งในทุกแมตช์ฤดูกาลทำเกษตรของประเทศไทย มาพร้อมดีไซน์โฉบเฉี่ยว ตกแต่งลวดลายภายใต้ธีม “ทีมช้างศึก” พร้อมเพิ่มจุดเด่นด้วยการมอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น อาทิ ไฟส่องสว่าง LED บังโคลนล้อหลัง ท่อไอเสียแนวตั้ง มือจับ ที่วางแก้ว เป็นต้น เจาะกลุ่มเป้าหมายเกษตรกรยุคใหม่ หรือ Smart Farmer

“สยามคูโบต้าตั้งเป้ายอดขายสินค้าพิเศษรุ่น CHANGSUEK EDITION ไว้ที่ 1,000 คัน โดยในช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคมนี้ เราได้ร่วมมือกับผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ จัดกิจกรรมเปิดตัวสินค้า CHANGSUEK EDITION สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้ารุ่นพิเศษนี้จะได้รับของ Premium Set ได้แก่ เสื้อฟุตบอลช้างศึก กระเป๋าใส่รองเท้า และหมวก
ซึ่งเป็นสินค้า Limited โดยมีกำหนดวางจำหน่ายถึงธันวาคม 2562 เท่านั้น” นายพิษณุ กล่าวในที่สุด

สยามคูโบต้า เปิดตัวเลขยอดขายครึ่งปีแรก 27,000 ล้านบาท มั่นใจสามารถปิดปีได้ตามเป้าที่ 60,000 ล้านบาท เผยกลยุทธ์ นำนวัตกรรมการเกษตรแบบครบวงจรเป็นโซลูชั่นสำคัญในการตอบโจทย์ เกษตรกรในยุคดิจิทัลควบคู่กับการรุกจัดกิจกรรมการตลาดต่อเนื่อง พร้อมเปิดตัวแคมเปญการตลาดล่าสุด “ช้างศึก” (CHANGSUEK EDITION) เอาใจแฟนบอลไทย ตั้งเป้าอีก 5 ปีข้างหน้ายอดขายทะลุ 100,000 ล้านบาท

นายฮิโรโตะ คิมุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ผลประกอบการในครึ่งปีแรกของปี 2562 สยามคูโบต้ามียอดขายอยู่ที่ 27,000 ล้านบาท แบ่งเป็นในประเทศ 17,000 ล้านบาท และต่างประเทศ 10,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60:40 เติบโตขึ้นประมาณ 9 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 เนื่องจากเกษตรกรมีกำลังซื้อเพิ่ม ราคาพืชหลักอยู่ในเกณฑ์ดี ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลทดแทนแรงงานคนในภาคการเกษตร อีกทั้งบริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก ได้แก่ แทรกเตอร์ขนาด 57 แรงม้า รุ่น MU5702 ซึ่งเจาะกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่ผสม ติดตั้งระบบคูโบต้า นวัตกรรมอัจฉริยะ KIS (KUBOTA Intelligence Solutions) และเครื่องหยอดข้าว รุ่น DS10 เพื่อส่งเสริมการผลิตข้าวให้มีคุณภาพ ในส่วนของตลาดต่างประเทศ สัดส่วนการส่งออกตลาดหลักยังคงเป็นประเทศกัมพูชา ลาว และเมียนมาร์

ในปี 2562 บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 60,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ประมาณ 12 % ซึ่งคาดว่าในปี 2562 บริษัทฯ จะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบัน พบว่าเกษตรกรไทยมีรายได้สูงขึ้นจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ด้วยปัจจัยสภาพอากาศ ระบบการจัดการน้ำ นโยบายด้านการเกษตรที่วางแผนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

ตลอดจนนวัตกรรมการเกษตร ขณะที่สถานการณ์ในตลาดต่างประเทศ สยาม
คูโบต้ายังคงเป็นอันดับ 1 ที่ส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตร พร้อมตั้งเป้านำกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในไทยไปปรับใช้ในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะงานขายและบริการ พร้อมชูประเด็นสินค้าครบวงจร และอุปกรณ์ที่เหมาะกับการใช้งานในกลุ่มพืชหลัก ทั้งนี้ สยามคูโบต้าตั้งเป้าหมายอีก 5 ปีข้างหน้า จะเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละประมาณ 10 % โดยในปี 2567 จะมีมูลค่ายอดขายรวมประมาณ 100,000 ล้านบาท และเน้นการทำตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นโดยตั้งเป้าขยายส่วนแบ่งตลาดในประเทศและต่างประเทศอยู่ที่ 50 : 50

“ปัจจุบันรูปแบบการทำเกษตรของญี่ปุ่นมีการปรับเปลี่ยนมาเป็นการรวมกลุ่มทำเกษตรแปลงใหญ่ และใช้เครื่องจักรกลการเกษตรเข้ามาช่วย อีกทั้งเกษตรกรมืออาชีพ (Smart Farmer) มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น คูโบต้า ญี่ปุ่นจึงคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ตลอดจนสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ใส่ใจการทำเกษตรมากขึ้น อาทิ ระบบจัดการฟาร์ม (KSAS: Kubota Smart Agri System) เทคโนโลยีไร้คนขับ (Autonomous Agricultural Machinery) โดรนฉีดพ่นเพื่อการเกษตร (Spraying Drone) ซึ่งสยามคูโบต้าจะร่วมพัฒนาเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่การเกษตรของประเทศไทย และประเทศในแถบอาเซียนต่อไป” นายคิมุระ กล่าวเพิ่มเติม

นายสมศักดิ์ มาอุทธรณ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส เปิดเผยถึง ภาพรวมของตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยช่วงครึ่งปีแรกว่า มีการเติบโตขึ้น 4-5% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชหลักของประเทศ ส่งผลทำให้ความต้องการเครื่องจักรกลการเกษตรเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนของสยามคูโบต้านั้นก็มียอดขายแทรกเตอร์ที่เพิ่มขึ้นถึง 16% เมื่อเทียบกับปี 2561 นอกจากนี้เรายังได้มีพัฒนาเครื่องจักรกลการเกษตรที่หลากหลายมากขึ้น เน้นกระบวนการทำงานและการแก้ปัญหาด้านการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ตลอดจนมีขั้นตอนการจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพและครบวงจร จึงทำให้ผลการดำเนินงานของเราเติบโตไปตามเป้าที่วางไว้

“สยามคูโบต้าดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายเกษตร 4.0 ของรัฐบาล โดยมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำนวัตกรรมการเกษตรเพื่ออนาคต ด้วยสินค้าและบริการแบบครบวงจร พร้อมทั้งคิดค้นนวัตกรรมการเพาะปลูกที่มีประสิทธิภาพและความแม่นยำ ตลอดจนพัฒนาในด้านสินค้า อะไหล่ บริการหลังการขาย และเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย รวมถึงนำ IoT (Internet of Things) มาใช้ในระบบบริหารจัดการเครื่องจักรเพื่อสอดรับยุคดิจิทัล อาทิ ระบบ Kubota Intelligence Solutions (KIS)

พร้อมทั้งดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์แก่เกษตรกรไทย ได้แก่ โครงการเกษตรปลอดการเผา หรือ ZERO Burn โดยร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เผยแพร่การทำเกษตรปลอดการเผา โดยตั้งเป้าให้พื้นที่ภาคการเกษตรของไทยกว่า 140 ล้านไร่ ปลอดการเผา 100% ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร การลงพื้นที่รณรงค์กลุ่มเกษตรกร และเมื่อไม่นานมานี้ได้มีการจัดงานสัมมนา Agri Forum 2019 เกษตรปลอดการเผา ซึ่งมีเกษตรกรให้ความสนใจเข้าร่วมงานกว่าพันคน

สำหรับความคืบหน้าการก่อตั้งคูโบต้าฟาร์ม เพื่อเป็นฟาร์มสร้างประสบการณ์เกษตรสมัยใหม่ของภูมิภาคอาเซียน บนเนื้อที่มากกว่า 220 ไร่ โดยใช้นวัตกรรมเกษตรครบวงจร เพื่อยกระดับให้เป็นเกษตรแม่นยำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และให้ผลลัพธ์คุ้มค่าทุกตารางเมตร รวมถึงบริหารจัดการรายได้อย่างยั่งยืน เพื่อนำพาภูมิภาคอาเซียนไปสู่เกษตรยุคใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ คูโบต้าฟาร์มตั้งอยู่ที่ จ.ชลบุรี โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 ขณะนี้แล้วเสร็จกว่า 40% ใช้งบลงทุนไป 30 ล้านบาท ในการก่อสร้างเฟสแรก ซึ่งได้รับการตอบรับทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมศึกษาดูงานแล้วกว่า 4,000 ราย ทางสยามคูโบต้าคาดว่าจะสามารถเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบได้ในปี 2563 โดยมีแผนพัฒนาเฟส 2 และ 3 ให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2568

นายพิษณุ มิลินทานุช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการทั่วไป สายงานขาย การตลาดและบริการ เปิดเผยว่า ปีนี้สยามคูโบต้าเป็นส่วนหนึ่งในการรวมพลังเชียร์นักกีฬาไทย โดยร่วมเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการให้กับทัพช้างศึก ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย เปิดตัวสินค้ารุ่นพิเศษภายใต้ชื่อ CHANGSUEK EDITION ประกอบด้วย แทรกเตอร์ รถเกี่ยวนวดข้าว และรถขุดขนาดเล็ก ชูเอกลักษณ์ความแข็งแกร่งในทุกแมตช์ฤดูกาลทำเกษตรของประเทศไทย มาพร้อมดีไซน์โฉบเฉี่ยว ตกแต่งลวดลายภายใต้ธีม “ทีมช้างศึก” พร้อมเพิ่มจุดเด่นด้วยการมอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น อาทิ ไฟส่องสว่าง LED บังโคลนล้อหลัง ท่อไอเสียแนวตั้ง มือจับ ที่วางแก้ว เป็นต้น เจาะกลุ่มเป้าหมายเกษตรกรยุคใหม่ หรือ Smart Farmer

“สยามคูโบต้าตั้งเป้ายอดขายสินค้าพิเศษรุ่น CHANGSUEK EDITION ไว้ที่ 1,000 คัน โดยในช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคมนี้ เราได้ร่วมมือกับผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ จัดกิจกรรมเปิดตัวสินค้า CHANGSUEK EDITION สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้ารุ่นพิเศษนี้จะได้รับของ Premium Set ได้แก่ เสื้อฟุตบอลช้างศึก กระเป๋าใส่รองเท้า และหมวก
ซึ่งเป็นสินค้า Limited โดยมีกำหนดวางจำหน่ายถึงธันวาคม 2562 เท่านั้น” นายพิษณุ กล่าวในที่สุด

หากใครที่ติดตาม จะทราบดีว่าเราเคยประกาศขอเป็นหุ้นส่วนกับเกษตรกรทั่วประเทศมาบ้างแล้ว ผ่านทั้งเว็บไซต์เกษตรก้าวไกล และเพจเกษตรก้าวไกลไปด้วยกัน แต่ด้วยข่าวสารที่มากมายในแต่ละวันก็อาจจะถูกกลืน วันนี้จึงขอนำมาบอกกล่าวกันอีกครั้งหนึ่ง…

แนวความคิดดังกล่าวมีที่มาจากการได้เห็นระหว่างออกเดินทางตามโครงการเกษตรคือประเทศไทย “เกษตรกรอยู่ที่ไหนเราอยู่ที่นั่น” เมื่อปี 2561 และต่อมาในปี 2562 เราก็ยังเดินทางตามโครงการนี้ และเพิ่มความเข้มข้นในแนวคิด “เกษตรกรคือยอดมนุษย์” ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่สิ้นสุดโครงการ จากภารกิจนี้เราพบว่าเกษตรกรทุกคนทุกกลุ่มตื่นตัวที่จะนำพากิจการของเขาไปสู่ความสำเร็จ

คือไม่ว่าใครอยู่ที่ไหนก็สามารถสื่อสารถึงกันได้ ใช้ระบบออนไลน์เป็นเครื่องมือ “โลกที่เคยใหญ่ก็เล็กลงทุกวัน” เป็นยุคที่ดิจิทัลมีอำนาจ หรือเป็นยุคแห่งการทำลายล้าง (digital disruption) บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายที่กลับตัวเปลี่ยนแปลงไม่ทัน ถึงคราวต้องปิดกิจการหรือไม่ก็ปรับองค์กรให้เล็กลง จึงเป็นโอกาสอันดีของบริษัทขนาดเล็ก โดยเฉพาะเกษตรกรทุกคนที่จะมีโอกาสเท่าเทียมกันอีกครั้งก็คราวนี้

ในฐานะสื่อมวลชนด้านการเกษตรเรามองว่าความร่วมมือสำคัญที่สุด(ยิ่งใหญ่ที่สุด) ไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่เท่ากับความร่วมมืออีกแล้ว (The greatest cooperation) แต่ความร่วมมือที่พูดถึงนี้ เราเน้นในแง่ของความเป็นตัวเราที่เรามีความถนัด และอยากจะนำความถนัดนี้ไปร่วมมือกับเกษตรกรทุกคนที่มองเห็นว่าสอดคล้องต้องกัน ความร่วมมือที่ว่ามี 2 เรื่องหลัก ดังนี้

เราพร้อมที่จะนำเสนอข่าวสารด้านการพัฒนาอาชีพเกษตร ตรงนี้เป็นภารกิจหลักที่เราได้ดำเนินการอยู่แล้ว แต่ขอเพิ่มเติมว่า(ย้ำว่า)ถ้าพี่น้องเกษตรกรมีข่าวสารอันไหนที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและส่วนรวมขอให้ส่งมายังเราได้
ปัจจุบันการเขียนข่าวหรือการส่งข่าวเป็นเรื่อที่ไม่ยาก และทุกคนสามารถเป็นผู้สื่อข่าวหรือผู้ส่งข่าวได้ เราเคยจัดทำโครงการ “เกษตรกรข่าว” หากว่าจะให้ทางเราแนะนำประการใดก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

เราพร้อมที่จะร่วมมือจัดกิจกรรมร่วมกัน โดยเราได้จัดตั้ง “เกษตรอคาเดมี-เรียนรู้สิ่งดีดีจากของจริง” และทดลองดำเนินการมาได้ปีเศษแล้ว เราคิดว่าเป็นแนวทางที่จะต้องขยายผลต่อไป
วิธีการตรงนี้ เป็นการร่วมมือกับเกษตรกรที่มีความรู้และประสบการณ์ เปิดอบรมห้องเรียนกลางสวน เช่น เรียนรู้เรื่องการทำทุเรียนนอกฤดูที่สวนผู้ใหญ่ดำรงค์ศักดิ์ สินศักดิ์ แห่งจังหวัดชุมพร การเปิดห้องเรียนกลางบ่อปลา เรื่องการเลี้ยงปลาหมอบ่อผ้าใบที่ฟาร์มโกแอ๊ะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมทั้งการเรียนรู้เรื่องการปลูกไม้ผลในภาชนะ และการขยายพันธุ์ไม้ผล ซึ่งเป็นความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ความร่วมมือที่ว่านี้จะขยายผลไปถึงองค์กรหรือสถาบันที่เกี่ยวข้องอีกด้วย)

ตามข้อ 2 นี้ เราเชื่อว่ายังมีเกษตรกรจำนวนมากทั่วประเทศไทยที่มีองค์ความรู้อยู่กับตัว ซึ่งที่ผ่านมาหลายท่านก็อาจจะเผยแพร่ตามวาระโอกาสอยู่แล้ว แต่การร่วมมือกับเราก็ถือว่าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ความรู้และประสบการณ์ของท่านจะถูกเผยแพร่ออกไปให้หลากหลาย

จึงขอเชิญชวนพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ใกล้ไกลไม่เป็นอุปสรรค เราพร้อมที่จะร่วมมือกับเกษตรกรทั่วประเทศ เพื่อปฏิบัติภารกิจภายใต้แนวคิด “เกษตรคือประเทศไทย” ขอเชิญติดต่อพูดคุยเพิ่มเติมได้ที่ โทร.ไอดีไลน์ 081300599 (ลุงพร เกษตรก้าวไกล) หรืออีเมล์ lungpornku@gmail.com เราพร้อมที่จะเดินไปด้วยกัน…คิดและทำ เพื่อความสำเร็จร่วมกันนะครับ

ตัวอย่างความร่วมมือ “ห้องเรียนกลางสวน” ที่จะเปิดอีกครั้งเร็วๆ นี้
หลักสูตรที่ 1 : การปลูกไม้ผลในภาชนะ(กระถาง เข่ง) ไม่ง้อที่ดินผืนใหญ่

จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับชนิดของไม้ผลว่าชนิดไหนปลูกได้ ปลูกไม่ได้ ปลูกในเข่งหรือในกระถางดี (หรือภาชนะอื่นใด) ระบบดินปลูก การผสมดินปลูก ระบบปุ๋ย ระบบน้ำ การตัดแต่งกิ่ง การบังคับให้ออกดอก ออกผล การตัดแต่งผล รวมทั้งสาธิตการปลูกในเข่งให้ดูกันสดๆ

วันที่สอน : วันเสาร์ที่ 21 กันยายน 2562 หลักสูตรที่ 2 : การขยายพันธุ์ไม้ผลในรูปแบบต่างๆ (ขยายพันธุ์ไม้ผลเป็นเห็นเงินล้าน)

เรียนวิธีการขยายพันธุ์พืชรูปแบบต่างๆ แต่จะเน้นการขยายพันธุ์ไม้ผลเป็นวิธีที่นิยมใช้จริง และเลือกชนิดพันธุ์ไม้ที่เป็นการค้าจริงๆ จะมีทั้งหมด 5 วิธี คือ การตอนกิ่ง ติดตา ต่อกิ่ง การทาบกิ่ง และการเสริมราก รวม 5 วิธี (3 วิธีแรกทุกคนจะได้ปฏิบัติจริง ส่วน 2 วิธีหลังทางวิทยากรจะสาธิตให้ดู)

วันที่สอน : วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562

ทั้ง 2 หลักสูตร สอนโดย อาจารย์รัฐพล ฉัตรบรรยงค์ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยใช้สถานที่เรียน บริเวณแปลงปลูกภายในเรือนองุ่นปวิณ ปุณศรี (ฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) เริ่มเรียนตั้งแต่เวลา 13.00-17.00 น. (ค่าเรียนหลักสูตรละ 500 บาท เดิม 300 บาท แต่เนื่องจากไม่ได้มีงบประมาณสนับสนุนและเป็นการเปิดเรียนวันหยุดจะมีค่าใช้จ่ายเจ้าหน้าที่และรวมค่าวัสดุฝึกต่างๆ)

หลักสูตรที่ 3 : การปลูกทุเรียนนอกถิ่น ปลูกอย่างไรให้รอดและรวย

เรียนรู้วิธีการปลูกทุเรียนที่เหมาะสม เช่น ดินที่เหมาะสม ควรเป็นดินแบบไหน ถ้าไม่เหมาะสมจะแก้ไขอย่างไร ปลูกอย่างไรที่ได้ผลดี หลุมปลูก พันธุ์ปลูก ควรปลูกช่วงไหน ระยะห่างเท่าไร การปลูกไม้กันลม การปลูกไม้ผลผสม ควรปลูกไม้ผลชนิดไหนดี การวางระบบน้ำที่ดี ปริมาณน้ำที่ทุเรียนต้องการในแต่ละช่วง รวมทั้งการจัดการสวนทุเรียนตั้งแต่ปลูกใหม่จนอายุ 12 ปี เช่น การใส่ปุ๋ย การตัดแต่งกิ่ง การจัดการโรคแมลง ฯลฯ (ทุเรียนที่สวนมีตั้งแต่อายุ 1-12 ปี)

วันที่สอน : วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2562 เวลา 09.00-16.30 น. ณ สวนเพชรนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก (ค่าเรียน 1,800 บาท…พิเศษลดเหลือ 1,600 บาท เฉพาะรุ่นเปิดตัว และกรณีมา 2 คนขึ้นไป ลดเพิ่มอีกคนละ 200 บาท คงเหลือคนละ 1,400 บาท)

หลักสูตรนี้ สอนโดย ดร.วีรวุฒิ กตัญญูกุล เจ้าของสวนเพชรนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ประวัติเป็นคนจังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของทุเรียน มีประสบการณ์ปลูกทุเรียนแบบสะสมความรู้ โดยเริ่มต้นปลูกจาก 5 ต้น เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ปัจจุบันปลูก 1,000 กว่าต้น ปลูกร่วมกับไม้ผลชนิดอื่นๆ

วิธีการสมัครเรียน (ทั้ง 3 หลักสูตร)
ขอให้ผู้สนใจสมัครด้วยการแจ้งชื่อ นามสกุล โทร.ไอดีไลน์ 0897877373 (คุณภัทรานิษฐ์) หลังจากนั้นโอนเงินเป็นค่าใช้จ่ายตามกำหนดราคาของแต่ละหลักสูตรข้างต้น เข้าบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย สาขาปากเกร็ด เลขที่บัญชี 142-2-33729-4 ชื่อบัญชี คุณภัทรานิษฐ์ จีระประเสริฐ หลังการโอนให้โทร.แจ้ง หรือไลน์ยืนยันการโอน…

ขอเรียนย้ำว่าการจัดหลักสูตร เป็นความร่วมมือที่จะจัดกิจกรรมร่วมกัน บางหลักสูตรมีเรียนฟรี บางหลักสูตรมีเก็บค่าใช้จ่าย มากบ้างน้อยบ้าง โดยยึดหลักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องอยู่ได้และถ่ายทอดความรู้ให้ทุกคนทำได้

กรมส่งเสริมการเกษตร เตรียมจัดงานใหญ่ “เกษตรสร้างชาติ ครั้งที่ 2″ คัดสรรสุดยอดสินค้าเกษตรคุณภาพเกรดพรีเมี่ยม จากเกษตรกรตัวจริงทั่วประเทศ ส่งตรงถึงผู้บริโภคคนเมือง ตระการตากับอุโมงค์กล้วยไม้นานาพันธุ์ พร้อมชมและร่วมลุ้นกับการประกวดแข่งขัน อาทิ สวนผักคนเมือง การจัดช่อบูเก้กล้วยไม้ และยังมีเวิร์คช้อปฝึกอาชีพฟรี 28 หลักสูตร วันเดียวทำได้จริง !! เรียกว่ามางานเดียวได้ครบทั้งสุขภาพ สาระความรู้ ความบันเทิง และช่องทางสร้างรายได้

นายสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวภายหลังการแถลงข่าวจัดงาน “เกษตรสร้างชาติ ครั้งที่ 2” ภายใต้แนวคิด “Smart & Strong Together รวมพลังส่งเสริมเกษตรไทย ก้าวไกลมั่นคง” เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2562 ณ ห้องประชุมกรมส่งเสริมการเกษตร ว่าการจัดงานครั้งนี้ ถือเป็นมหกรรมเกษตรแห่งปี ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรจัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินงานด้านการส่งเสริมการเกษตร

ในรอบปีที่ผ่านมา ภายใต้นโยบายการทำงานที่ให้ความสำคัญกับการทำงานแบบมีส่วนร่วม โดยยึดหลักร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมแก้ไขปัญหา และร่วมรับประโยชน์ เพื่อให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพได้อย่าง “มั่นคง” และ “อยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืน” อันเป็นที่มาของการจัดงานในครั้งนี้ และได้รับเกียรติจาก นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาเป็นประธานพิธีเปิด ซึ่งมีความยิ่งใหญ่ตระการตา ในวันที่ 19 กันยายน 2562

สำหรับการจัดงานในแต่ละวัน จะมีความโดดเด่นในธีมที่ไม่ซ้ำกัน เริ่มจากวันที่ 20 กันยายน มาใน ธีม Food for Health “อาหารสุขภาพ” เต็มอิ่มกับอาหารสุดเฮลท์ตี้ ดีต่อสุขภาพ วันที่ 21 กันยายน Orchid Day อลังการกับอุโมงค์กล้วยไม้นานาพันธุ์ และวันสุดท้าย 22 กันยายน Thai Cloth for All พบกับผ้าไทยร่วมสมัย และแฟชั่นโชว์ผ้าไทยดีไซน์เก๋ จากกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร !!

นอกจากนี้ ยังมีส่วนของการนำสินค้าจากเกษตรกรที่ประสบอุทกภัย โพดุล มาจำหน่ายเพื่อเป็นรายได้ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอีกทางหนึ่งด้วย และมีนิทรรศการโชว์มหัศจรรย์พันธุ์พืชแปลก พืชหายากที่น่าสนใจ ได้แก่ ข้าวโพดแฟนซี กล้วยและสับปะรดสีชนิดต่างๆ มะพร้าวเปลือกหวาน มะพร้าวพวงร้อย มะเขือแฟนซี 1 ต้นมี 7 ชนิด ชาเลือด และพืชอื่นๆ ชมการสาธิตการทำอาหารเพื่อสุขภาพ ร่วมเสวนากับคนรักกล้วยไม้ ใน “คนดังนั่งคุย” การเจรจาธุรกิจ คลินิกเกษตร และอีกหนึ่งไฮไลท์เด็ดในงาน “เกษตรสร้างชาติ ครั้งที่ 2” คือ ถนนสายอาหาร 4 ภาค (Food Street) กว่า 100 ร้านค้า ทั้งเมนูคาว-หวาน

เครื่องดื่มและของทานเล่น ต่างพร้อมใจกันมาฝากฝีไม้ลายมือให้ได้ “แซบ หรอย อร่อย ลำ” กันตลอดงาน อาทิ ถั่วคั่วทราย และหมี่อ่อนสอดไส้ จากภาคอีสาน แกงไตปลา และข้าวยำสมุนไพรลูกเดือย จากภาคใต้ ยำหัวปลี และหมูชะมวง จากภาคกลาง กาแฟสด และไส้อั่วใบชา จากภาคเหนือ นอกจากนี้ ยังมีลูกชิ้นปลา และห่อหมกเห็ด ในโซนอาหารมุสลิมด้วย พร้อมกิจกรรมนาทีทอง ลด แลก แจก แถม การแสดงมินิคอนเสิร์ตและความบันเทิงตลอด 4 วันเต็ม 19 – 22 ก.ย. นี้ ณ ชาเลนเจอร์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage “เกษตรสร้างชาติ” #มหกรรมเกษตรแห่งปี #งานดีที่ต้องมา #เกษตรสร้างชาติครั้งที่ 2

กรมส่งเสริมการเกษตร เชิญชวนผู้สนใจสมัครฝึกอบรมอาชีพด้านการเกษตร 4 วัน 28 หลักสูตร ฟรี!!! ในงานเกษตรสร้างชาติ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 19 – 22 กันยายน 2562 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี

นายสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตรกำหนดจัดงาน “เกษตรสร้างชาติ ครั้งที่ 2” ระหว่างวันที่ 19 – 22 กันยายน 2562 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินงานด้านการส่งเสริมการเกษตร เพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์ผลผลิตและสินค้าเกษตรคุณภาพ โดยภายในงานนอกจากจะมีการจัดแสดงนิทรรศการแสดงผลงานส่งเสริมการเกษตร การยกทัพสินค้าและผลิตภัณฑ์เกษตรเกรดพรีเมี่ยมมาจำหน่ายในเมืองกรุง การประกวดและแข่งขันชิงเงินรางวัล การจัดแสดงเดินแบบผ้าไทย พร้อมถนนสายอาหารของดี 4 ภาค ตลอดจนการแสดงบนเวทีของศิลปินดาราที่ให้ทั้งสาระความรู้และความบันเทิงแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ผู้สนใจสมัครเข้ารับฝึกอบรมอาชีพ 4 วัน 28 หลักสูตรฟรี!!! ในงานดังกล่าวด้วย

สำหรับกิจกรรมการฝึกอาชีพด้านการเกษตร จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เพลินทูเก็ตเตอร์ (Plearn Together)” เป็นหลักสูตรที่ทำง่าย เรียนรู้ได้ใน 1 วัน และสามารถทำเป็นอาชีพได้จริง เปิดรับสมัครอบรมฟรีตลอดการจัดงาน “เกษตรสร้างชาติ ครั้งที่ 2” โดยเปิดฝึกอาชีพวันละ 2 ห้อง ห้องละ 4 รอบ หรือ 60 นาทีต่อรอบ เริ่มตั้งแต่เวลา 10.30 – 17.00 น. รับสมัครรอบละ 30 คน รวม 840 ราย ซึ่งแต่ละวันจะมีหลักสูตรที่สอดคล้องกับแนวคิดการจัดงานเกษตรสร้างชาติในแต่ละวัน รวม 28 หลักสูตร ดังนี้

วันที่ 19 กันยายน 2562 มีจำนวน 4 หลักสูตร ได้แก่ สละน้ำผึ้งชีสพาย การปักกล้วยไม้อย่างง่าย โลฟกล้วยหอมช็อกโกแลต และการร้อยมาลัยกล้วยไม้
วันที่ 20 กันยายน 2562 ภายใต้แนวคิด อาหารเพื่อสุขภาพ มีจำนวน 8 หลักสูตร ได้แก่ น้ำยาเห็ด น้ำหม่อน/โยเกิร์ตน้ำหม่อน ขนมจีบ น้ำมะม่วงหาวมะนาวโห่ สลัดโรล วุ้นลูกมะพร้าว เค้กกล้วยหอม และบาร์บีคิว

วันที่ 21 กันยายน 2562 ภายใต้แนวคิด การใช้ประโยชน์จากกล้วยไม้ มีจำนวน 8 หลักสูตร ได้แก่ กล้วยไม้แฟนซี การปลูกกล้วยไม้และการเพิ่มมูลค่า การร้อยมาลัยกล้วยไม้จิ๋ว การเพาะต้นอ่อนธัญพืช การทำช่อกล้วยไม้ การจัดสวนเคลื่อนที่ การร้อยมาลัยกล้วยไม้ริบบิ้น และผักลอยฟ้า
วันที่ 22 กันยายน 2562 มีจำนวน 8 หลักสูตร ได้แก่ น้ำผึ้งมะนาวสมุนไพร อาหารว่างจากน้ำผึ้ง การทดสอบน้ำผึ้งอย่างง่าย แปรรูปจิ้งหรีดแบบอินเตอร์ ศิลปะการพับผ้าขนหนู พับกลีบบัว ถั่วงอกอินทรีย์ และพวงมาลัยใบเตย

“เงื่อนไขการรับสมัครฝึกอบรมอาชีพด้านการเกษตร ผู้สมัครสามารถสมัครได้คนละไม่เกิน 4 หลักสูตร (30 คน/หลักสูตร) เปิดรับสมัคร ณ อาคารชาเลนเจอร์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี บริเวณหน้าห้องอบรมก่อนถึงเวลาเรียน 30 นาที ผู้ที่สมัครแล้วต้องมาแสดงตัว และลงชื่อเพื่อลงทะเบียนพร้อมรับวัสดุฝึกอบรมหน้างาน ก่อนเข้ารับการฝึกอาชีพไม่น้อยกว่า 10 นาที หากไม่มาแสดงตัวถือว่าสละสิทธิ์ในหลักสูตรนั้น ๆ ซึ่งเราเปิดฟรี!!! ทุกวัน จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกิจกรรมภายในงานครั้งนี้ได้ครับ” อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวในที่สุด

“ฟรีหมดไม่มีค่าใช้จ่ายสักบาทเดียว ตลอดระยะเวลาการเรียน 2 วัน 1 คืนตามหลักสูตร”

“แบบนี้ก็มีด้วยหรือ” เมื่อผู้ถามถึงค่าใช้จ่าย

ที่อื่นไม่รู้ แต่ที่โรงเรียนเกษตรกรชาวไร่อ้อย สมัคร M8BET แห่งนี้ มี และมีมานานแล้ว ตั้งแต่ ปี 2558 เมื่อ นายสมนึก ประธานทิพย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท นครสวรรค์ สตีล จำกัด ( NKS ) คิดและทำ เพื่อช่วยเหลือและพัฒนาเกษตรกรชาวไร่อ้อย ให้เกิดการยกระดับองค์ความรู้ในด้านต่างๆที่เกี่ยวกับการทำไร่อ้อย ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ หรือ จะพูดง่ายๆว่า ทำให้เกษตรกรมีความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน กับอาชีพการทำไร่อ้อย