เจ้าของแปลงปลูกไม้มีค่ากล่าวว่า เดิมพื้นที่ดินตรงนี้ทำนามาก่อน

แต่มีปัญหาน้ำท่วมไม่ถึง จึงเปลี่ยนมาปลูกกล้วยเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก เนื่องจากระบบชลประทานเข้าไม่ถึง ทำให้น้ำไม่พอเพียง จึงหันมาปลูกไม้มีค่าในวันนี้ เพราะจากข้อมูลที่ศึกษาพบว่าไม่ต้องใช้น้ำมาก ยกเว้นในช่วงปีแรกตนเองจะนำถังน้ำและสายยางมาวางไว้ตามจุดต่างๆ จะต้องรดน้ำทุกวัน และการปลูกจะสลับระหว่างต้นไม้ใบใหญ่กับต้นไม้ใบเล็ก เพื่อให้แสงแดดส่องถึงโคนต้นทุกต้น โดยปลูกห่างต่อต้น 3×3 เมตร รวมต้นไม้ที่ปลูก 750 ต้น และระหว่างที่ต้นไม้ยังไม่โตจะปลูกพืชผักอื่นๆ เพื่อเป็นรายได้เสริมอีกด้วย

ส่วน นายกรสมรรถ เลาพิการนนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ธ.ก.ส.จังหวัดอ่างทอง กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนปลูกไม้มีค่าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้แก่ได้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 เกี่ยวกับไม้หวงห้าม และกระทรวงพาณิชย์ ได้ออกกฎกระทรวงให้ไม้ยืนต้นเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันได้

“กิจกรรมครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนในตำบลจำปาหล่อ ร่วมกันปลูกต้นไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ยางนา พยุง ตะเคียนทอง ต้นแดง ประดู่ป่า พะยอม ฯลฯ ซึ่งจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นกับชุมชน ทั้งยังสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย พลังงาน เพิ่มพื้นที่ป่ารักษาระบบนิเวศ สร้างสิ่งแวดล้อมให้สมดุล ลดภาวะโลกร้อน เป็นทรัพย์สินเป็นเงินออม เป็นมรดกให้ลูกหลาน รวมทั้งสามารถนำมาเป็นหลักประกันทรัพย์ สิน สำหรับกู้เงินกับสถาบันการเงิน ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบได้”

นอกจากนี้ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ธกส.จังหวัดอ่างทอง1 ยังกล่าวอีกว่า ธ.ก.ส. จะให้การส่งเสริมปลูกไม้มีค่าตั้งแต่การอบรมปลูกไม้มีค่า รวมทั้งการให้ความรู้เรื่องการเพาะขยายพันธุ์ไม้มีค่า ทั้งนี้เพื่อสร้างให้เกิดอาชีพใหม่ๆ และยังรวมไปถึงการนำไม้มีค่าไปแปรรูปเพิ่มมูลค่า ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นนโยบายของ ธ.ก.ส. ที่มุ่งหวังให้เกษตรกรและชุมชนมีความมั่งคงในอาชีพต่อไป

27 มิถุนายน 2562 – “มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด กรมส่งเสริมการเกษตรและดีแทค” ขอชวนเกษตรกรสมัครเข้าประกวดโครงการเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด ประจำปี 2562 ภายใต้แนวคิด “เกษตรวิถีอินทรีย์แบบครบวงจร” ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 500,000 บาท

นายบุญชัย เบญจรงคกุล ประธานมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด กล่าวว่า โครงการประกวดเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด ประจำปี พ.ศ.2562 ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 11 เพื่อเฟ้นหา สนับสนุนและยกย่องเกษตรกรที่มีศักยภาพในการเป็นต้นแบบสำหรับเกษตรกรยุคใหม่

สำหรับปีนี้ โครงการประกวดมุ่งเน้นสรรหาเกษตรกรต้นแบบ ภายใต้แนวคิด “เกษตรวิถีอินทรีย์แบบครบวงจร” เนื่องจากความต้องการอาหารปลอดภัยของตลาดโลก โดยผลผลิตของเกษตรอินทรีย์ในเอเชียและออสเตรเลียมีมูลค่าสูงถึง 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ขณะเดียวกัน รัฐบาลเองก็เห็นความสำคัญของเกษตรอินทรีย์ ด้วยการผลักดันสินค้าเกษตรอินทรีย์ไทยสู่ตลาดโลก และมีการกำหนดยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ปี 2560 – 2564 โดยมีแผนจะเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ จากเดิม 3 แสนกว่าไร่ ให้เป็น 6 แสนไร่ภายในปี 2564

ทั้งนี้ การเกษตรวิถีอินทรีย์ (Organic agriculture) จะต้องประกอบด้วยหลักการสำคัญ 4 ข้อ ได้แก่ สุขภาพ, นิเวศวิทยา, ความเป็นธรรม, และการดูแลเอาใจใส่ (health, ecology, fairness and care) นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-friendly) โดยมี 4 ส่วนสำคัญคือ 1. กระบวนการผลิต (Production) 2. การขนส่ง (Logistics) 3. คำนึงถึงผู้บริโภค (Human Center) และ 4. การจัดการหรือกำจัด (Disposal)

สำหรับ คุณสมบัติผู้เข้าประกวด จะต้องไม่เคยเป็นเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด มีอายุระหว่าง 17-50 ปี เป็นผู้ผลิตสินค้าที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น IFOAM เกษตรอินทรีย์ Earth Safe (อินทรีย์วิถีไทย) PGS (Participatory Guarantee Systems) Organic Thailand มผช. มกท. เป็นต้น หรือมาตรฐานอื่นๆ รวมถึงเกษตรกรที่อยู่ในระยะปรับเปลี่ยนก้าวสู่การเป็นเกษตรอินทรีย์ ทั้งยังมีการประยุกต์ใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีและสารสนเทศ เพื่อลดต้นทุน สร้างรายได้ เพิ่มผลผลิต และสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางด้านการเกษตร พร้อมทั้งมีจิตสำนึกรักบ้านเกิด และมุ่งพัฒนาการเกษตรวิถีอินทรีย์อย่างยั่งยืน

ผู้ผ่านการคัดเลือก จำนวน 10 ท่าน จะได้รับเงินสนับสนุนพร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ รวมมูลค่ากว่า 500,000 บาท สำหรับ วิธีสมัคร สามารถสมัครเข้าร่วมประกวดได้ 3 ช่องทาง คือ 1.สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้าน 2.สำนักงานเกษตรจังหวัดทั่วประเทศ และ 3.ส่งใบสมัครและเอกสารมาได้ที่มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิดโดยตรง เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ก.ค. 2562

เมล็ดพันธฺุ์ตราศรแดงและซันสวีท สองผู้นำการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร ร่วมลงนาม MOU นำนวัตกรรมระดับสากลของรถเกี่ยวข้าวโพดสู่เกษตรกรไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บเกี่ยว และร่วมผนึกกำลังในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวและพืชผักอื่นๆ โดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางตลาดใหม่ๆ ด้วยการแปรรูปข้าวโพดข้าวเหนียวพันธุ์สวีทไวโอเล็ทพร้อมรับประทานสู่ร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ

29 มิถุนายน 2562 : นายวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักคุณภาพอันดับ 1 ในไทย ภายใต้แบรนด์ตราศรแดง และ ดร. องอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) นำนวัตกรรมระดับสากลของรถเกี่ยวข้าวโพดสู่เกษตรกรไทย และและร่วมผนึกกำลังในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวและพืชผักอื่นๆ สำหรับตลาดแปรรูปพร้อมรับประทานเข้าสู่ตลาดสะดวกซื้อเป็นรายแรกของไทย โดยมี นายอิสระ วงศ์อินทร์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด และ นางอัมพันธ์ สุริยัง ผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) เป็นสักขีพยาน ณ ศูนย์การเรียนรู้ KC FARM อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่

นายวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด กล่าวว่า “อีสท์ เวสท์ ซีด เรามีวิสัยทัศน์ที่จะยกระดับชีวิตของเกษตรกไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน เข้าใจความต้องการของเกษตรกรว่าต้องการอะไร เราพยายามที่จะหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอาชีพ และนำเสนอเทคโนโลยีเหล่านั้นสู่เกษตรกรไทย โดยเทคโนโลยีเหล่านั้น อาจจะเป็นเรื่องประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งนั่นก็นำไปสู่คุณภาพชีวิตของเกษตรกรที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนนั่นเอง

โดยในวันนี้ทางอีสท์ เวสท์ ซีด และ ซันสวีท ร่วมลงนาม MOU กัน โดยการเซ็นต์ MOU ในครั้งนี้มี 2 โครงการสำคัญๆ นั่นก็คือ

โครงการที่ 1 โครงการร่วมมือกันในการนำนวัตกรรมของรถเกี่ยวข้าวโพดระดับสากลสู่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดของไทย ซึ่งเราศึกษาแล้วพบว่ารถเกี่ยวข้าวโพดนี้มีประโยชน์ต่อเกษตรกรในแง่ของการประหยัดต้นทุนในการเก็บเกี่ยวทั้งทางด้านแรงงานและเวลา และที่สำคัญรถรุ่นนี้มีการพัฒนามาเพื่อใช้ในพื้นที่การเพาะปลูกขนาดเล็ก ซึ่งเหมาะกับพื้นที่การเพาะปลูกในประเทศไทยซึ่งจากการศึกษาพบว่ารถเกี่ยวสามารถลดต้นทุนในด้านแรงงานลงไปอย่างน้อย 50% ของต้นทุนที่ใช้ในปัจจุบัน

โครงการที่ 2 อีสท์ เวสท์ ซีด เราจับมือกับ ซันสวีท นำข้าวโพดข้าวเหนียวคุณภาพสูงพร้อมรับประทานสู่ตลาดสะดวกซื้อเป็นรายแรกของไทย อย่างที่ทุกท่านคงทราบกันดีว่าข้าวโพดพร้อมรับประทานสำเร็จรูปที่เราพบเห็นในตลาดนั้นเป็นข้าวโพดหวาน ไม่พบข้าวโพดข้าวเหนียวเลย ซึ่งทางอีสท์ เวสท์ ซีด เราเป็นผู้นำอันดับ 1 ของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสม โดยสายพันธุ์ที่เป็นเบอร์หนึ่งในตลาดตอนนี้คือ พันธุ์สวีทไวโอเล็ท ของศรแดง ซึ่งในปี 2561 ที่ผ่านมาเราได้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์สวีทไวโอเล็ทคิดเป็นจำนวนมากกว่า 150,000 กก. หรือคิดเป็นปริมาณฝักสดที่อยู่ในท้องตลาดจำนวน 615,000,000 ฝัก (หกร้อยสิบห้าล้านฝัก) ซึ่งตลาดปลายทางของฝักสดสายพันธุ์นี้ถูกกระจายไปตามตลาดสินค้าเกษตร และตลาดสด

จนถึงตลาดนัด แผงต้มข้างทางทั่วประเทศ แต่ในปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยผู้บริโภคมักจะเข้าไปจับจ่ายซื้อของในร้านสะดวกซื้อ บวกกับเทรนด์รักสุขภาพมาแรง คนส่วนใหญ่สนใจในเรื่องของสารอาหารที่จะได้รับ ซึ่งสวีทไวโอเล็ท ข้าวโพดข้าวเหนียวหวานที่มี 2 สีในฝักเดียวคือสีขาว และสีม่วง ด้วยคุณประโยชน์ของข้าวโพดที่เรารู้กันอยู่แล้วว่ามีมากมาย บวกกับสารแอนโทไซยานินที่พบมากในพืชผักสีม่วง ข้าวโพดข้าวเหนียวสวีทไวโอเล็ทจึงน่าจะตอบโจทย์คนรักสุขภาพได้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้ยังมีพืชผักอื่น ๆ

อีกหลายตัว เช่น ฟักทอง เป็นต้น ที่วางแผนจะนำเข้าสู่ผลิตภัณฑ์พร้อมรับประทาน เราจึงหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการแปรรูป ซึ่งซันสวีทถือเป็นบริษัท ฯ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านข้าวโพดและพืชผักแปรรูปพร้อมรับประทานเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย อีกทั้งซันสวีทยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ อีสท์ เวสท์ ซีด จึงผนึกกำลังกับซันสวีทโดยการนำร่อง ข้าวโพดข้าวเหนียวพันธุ์สวีทไวโอเล็ท ของเราที่มีความโดดเด่นในเรื่องคุณภาพฝัก เมื่อนำไปแปรรูปแล้วพบว่าคุณภาพเหมือนฝักที่พึ่งต้มมาใหม่ รสชาติยังดี หวาน เหนียว นุ่ม เข้าสู่ตลาดข้าวโพดข้าวเหนียวพร้อมรับประทาน สู่ตลาดสะดวกซื้อ ซึ่งถือว่าเป็นรายแรกในไทย”

ดร. องอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายแปรรูปรายใหญ่ของประเทศ ภายใต้แบรนด์ เคซี ได้ให้สัมภาษณ์ว่า

“ปัจจุบันข้าวโพดหวานเป็นที่ต้องการด้านอาหารของตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ “ซันสวีท” จึงเร่งเดินหน้ารุกตลาดข้าวโพดทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเพิ่มยอดขาย โดยมี 3 กลยุทธ์หลัก คือ

เพิ่มช่องทางการค้าปลีก เน้นอาหารพร้อมทาน
ขยายไลน์สินค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มอาหารแช่แข็ง และ
สร้างนวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเพิ่มกำลังผลิตและมุ่งยกระดับคุณภาพของวัตถุดิบให้มีความเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าเพื่อสามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าและรองรับลูกค้าใหม่ได้อย่างทั่วถึง
เนื่องจากทางบริษัท ฯ มีแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานในรูปแบบที่หลากหลายขึ้น เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ บริษัท ฯ ได้เล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพดหวานและข้าวโพดข้าวเหนียวสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านคุณภาพ การบริโภคเหมาะสำหรับการผลิตในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก จึงได้ร่วมมือกับ “อีสท์ เวสท์ ซีด” ในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพด เพื่อเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมข้าวโพดหวานให้สูงขึ้น เพิ่มขีดความสามารถของทั้งสองฝ่ายและเป็นการสร้างความมั่นคงด้านเมล็ดพันธุ์ต่อไป”

ทำไมซันสวีท ถึงเลือกพันธุ์สวีทไวโอเล็ทของศรแดง เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวแปรรูปรายแรกในไทย

“เริ่มจากผมไปประเทศเกาหลีมา แล้วพบว่าตลาดเกาหลีมีความต้องการข้าวโพดข้าวเหนียวสองสี ทีนี้ผมมาดูสายพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวในไทย พบว่าพันธุ์สวีทไวโอเล็ทของศรแดง เป็นสายพันธุ์อันดับหนึ่งในตลาดอยู่แล้ว ทางศรแดงทำมานานมาก ผมได้เคยทำการทดลองสายพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวหลาย ๆ สายพันธุ์แล้วพบว่า พันธุ์สวีทไวโอเล็ท เมื่อนำมาแปรรูปแล้วคุณภาพการกินดี เหมือนฝักที่ต้มมาใหม่ ๆ

และเนื่องจาก อีสท์ เวสท์ ซีด เป็นบริษัทเมล็ดพันธุ์อันดับ 1 ที่มีความพร้อมในหลาย ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีการผลิต สายพันธุ์ที่มีคุณภาพ และเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับการยอมรับสูงอยู่แล้ว และผนวกมากับซันสวีทที่มีเทคโนโลยีแปรรูปที่ทันสมัยอยู่แล้ว จึงมาผสานกันได้ง่าย ๆ ผมไม่ต้องใช้เวลา 3 – 5 ปีมาพัฒนาสายพันธุ์ ผมจึงเลือกสวีทไวโอเล็ทของศรแดงมาเป็นข้าวโพดข้าวเหนียวแปรรูป “อร่อยไม่ยอมหยุด” เป็นรายแรกในประเทศไทยครับ”

ได้ฤกษ์เปิดตัวโครงการ เกษตรคือประเทศไทย ปี 2 ตอน ตามหาสุดยอดเกษตรกรประเทศไทย วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม 2562 เวลา 13.30-16.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าอาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ

งานนี้เขามีอะไรบ้าง? ทำไมต้องออกตามหากันด้วยเล่า เรามาฟังจากปากคุณพรศักดิ์ พงศาปาน หรือ “ลุงพร เกษตรก้าวไกล” บรรณาธิการผู้ก่อตั้งเว็บไซต์เกษตรก้าวไกล และสื่อออนไลน์ในเครือ ผู้ซึ่งเป็นหลักในการจัดงานนี้

ลุงพร เล่าว่า โครงการเกษตรคือประเทศไทยกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2561 ด้วยเห็นพ้องว่า การทำข่าวเกษตรในปัจจุบันมิอาจจะตั้งรับได้อีกต่อไป โดยเฉพาะในยุค digital disruption ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไวมาก เป็นยุคแห่งการทำลายล้าง ในขณะเดียวกันเป็นยุคที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้น “ผมคิดว่าในยุคดิจิทัลทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันอีกครั้ง” และ “วิกฤตคือโอกาส เป็นโอกาสของคนตัวเล็กที่จะกลับตัวหรือเปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่าคนตัวใหญ่หรือองค์กรขนาดใหญ่ สำคัญแต่ว่าคุณต้องมีความคิดที่จะสร้างสรรค์หรือเชื่อมต่อกับคนตัวใหญ่ที่เขามีพลังหรือมีความพร้อมมากกว่า”

อะไรคือความคิดที่ว่า “อย่างเช่นผมทำเว็บไซต์ด้านการเกษตร(เกษตรก้าวไกลดอทคอม และเกษตรว้อยซ์ดอทคอม รวมทั้งสื่ออนนไลน์ในเครือข่าย) ผมคิดว่าเราตั้งรับแบบเดิมหรือออกไปทำข่าวแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป แต่จะต้องร่วมมือกับองค์กรที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรหรือส่งเสริมอาชีพที่เกี่ยวกับเกษตรกรหรือไม่ก็ต้องเป็นองค์กรที่เขามองเห็นว่า “เกษตรคือประเทศไทย” เพราะเหตุนี้ผมและทีมงานจึงได้คิดโครงการนี้ขึ้นมา โดยในปีแรกนั้นได้ดำเนินการภายใต้แนวคิด “เกษตรคือประเทศไทย ก้าวไกลไปด้วยกันทั้งประเทศ เกษตรกรอยู่ที่ไหน เราอยู่ที่นั่น” ผลก็คือว่าได้รับการตอบรับดีตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก็ยังมีจุดอ่อนอยู่มาก

เพราะเหตุนี้ โครงการเกษตรคือประเทศไทย ปี 2 จึงเกิดขึ้น แต่คราวนี้ได้เพิ่มแนวคิดใหม่ จาก “เกษตรกรอยู่ที่ไหน เราอยู่ที่นั่น” ก็เพิ่มเป็น “ตามหาสุดยอดเกษตรกรประเทศไทย” (Thailand Super Farmer) โดยค้นหาความเป็นสุดยอดของเกษตรกรคนนั้นๆ เรียกว่าโฟกัสหรือมุ่งเป้ามากขึ้น ไม่สะเปะสะปะ แต่ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า “เกษตรกรคือยอดมนุษย์” กินความหมายว่า เกษตรกรคือผู้ให้อาหาร ปลูกพืชอาหารและเลี้ยงสัตวที่เป็นอาหาร เพื่อมวลมนุษยชาติให้มีชีวิตอยู่ได้ โดยเฉพาะหลายประเทศมียอดมนุษย์ แต่ประเทศไทยที่เป็นประเทศเกษตรกรรม ถ้าจะมียอดมนุษย์บ้าง ควรเป็นใคร https://goo.gl/qjHpVP

ในการเปิดตัวโครงการ “เกษตรกรคือยอดมนุษย์” ไฮไลท์จะอยู่ที่ พิธีตีธงปล่อยรถที่จะออกเดินทางไปตามหายอดมนุษย์เกษตรกรทั่วประเทศ ซึ่งได้รับเกียรติจาก คุณสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดี กรมส่งเสริมการเกษตร เป็นประธาน รวมทั้ง ผู้บริหาร มหาวิทยาลัยเกษตรฯ สภาเกษตรกรแห่งชาติ ธนาคาร ธ.ก.ส. ฯลฯ (รายละเอียดตามกำหนดการที่แนบมา)

ไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งคือ “บุฟเฟ่ต์ทุเรียนและผลไม้ 4 ภาค” ภายใต้การสนับสนุนของ ตลาดไท และสร้างสีสันด้วยพิธีปอกทุเรียน 4 ภาค โดยได้รับการสนับสนุนจากตัวแทนเกษตรกรภาคต่างๆ เช่น ทุเรียนหลงหลินลับแล (ภาคเหนือ) ทุเรียนภูเขาไฟ(ภาคอีสาน) ทุเรียนจันทบุรี (ภาคกลาง) ทุเรียนสาลิกา ทุเรียนมูซานคิง(ภาคใต้) ฯลฯ

“การจัดงานเปิดตัวโครงการเกษตรคือประเทศไทย ปี 2 จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดซึ่งความร่วมมือ ซึ่งเว็บไซต์เกษตรก้าวไกลและในเครือข่ายเราเป็นคนตัวเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับผู้สนับสนุนแต่ละราย แต่จุดที่เราสามารถเชื่อมต่อได้คือความคิดที่กลั่นออกมาเป็นโครงการ ที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า เกษตรคือประเทศไทย ถ้าทำการเกษตรให้เจริญได้ ประเทศไทยก็เจริญ โดยที่แนวความคิดนี้ผมและทีมงานก็ไม่ได้คิดเอง แต่ได้ศึกษาความคิดจากในหลวงรัชกาลที่ 9 และจากบุคคลอีกหลายคนที่เคารพนับถือ รวมทั้งจากประสบการณ์ของตัวเองและทีมงานที่หล่อหลอมเข้าด้วยกัน” ลุงพร เกษตรก้าวไกล กล่าวย้ำในท้ายที่สุด

ขอเชิญทุกท่านที่เห็นพ้องต้องกันว่า “เกษตรคือประเทศไทย” “เกษตรกรคือยอดมนุษย์” มาร่วมเป็นเกียรติในงานเปิดตัวโครงการครั้งนี้ “มาเป็นพลังให้กันและกัน” โดยพร้อมเพรียงกันครับ

คุณพรศักดิ์ พงศาปาน หรือ “ลุงพร เกษตรก้าวไกล” เปิดเผยว่า ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 เวลา 13.30-16.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าอาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน จะจัดให้มีงานเปิดตัวโครงการเกษตรคือประเทศไทย ปี 2 (ตอน) ตามหาสุดยอดเกษตรกรประเทศไทย (Thailand Super Farmer) ภายใต้ธีมงาน “เกษตรกรคือยอดมนุษย์” โดยภายในงานจะมีพิธีตีธงปล่อยรถที่จะออกเดินทางไปตามหายอดมนุษย์เกษตรกรทั่วประเทศ ซึ่งได้รับเกียรติจาก คุณสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดี กรมส่งเสริมการเกษตร เป็นประธาน รวมทั้ง ผู้บริหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้บริหารสภาเกษตรกรแห่งชาติ ผู้บริหารธนาคาร ธ.ก.ส. ฯลฯ (รายละเอียดตามกำหนดการด้านล่างสุด)

ไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งคือ “บุฟเฟ่ต์ทุเรียนและผลไม้ 4 ภาค” โดยการสนับสนุนของ ตลาดไท และสร้างสีสันด้วยพิธีปอกทุเรียน 4 ภาค โดยประธานในพิธีและตัวแทนแขกผู้เกียรติที่มาร่วมงาน โดยได้รับการสนับสนุนทุเรียนจากตัวแทนเกษตรกรภาคต่างๆ ที่ได้ส่งทุเรียนมาร่วมงาน เช่น ทุเรียนหลง-หลินลับแล (ตัวแทนภาคเหนือ) จากสวน คุณเรียม-กำพล คำมงคล แห่งอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเมื่อเย็นวานนี้(5 ก.ค.62) คุณเรียมได้ตระเวนหาลูกที่จะสุกพอดีในวันงาน และลงทุนลงมาจากภูเขา 14 กิโลเมตร เพื่อนำทุเรียนมาฝากไว้ที่บ้านให้กับคุณสุชาติ ปินจันทร์ (ประธานพัฒนาไม้ผล สภาเกษตรแห่งชาติ จังหวัดอุตรดิตถ์)เพื่อส่งต่อและเมื่อเช้านี้(6 ก.ค.) ได้ส่งมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทุเรียนภูเขาไฟ (ตัวแทนภาคอีสาน) จากสวนคุณทองจร มั่นสัตย์ เกษตรกรหนุ่มที่มีจิตใจงามแห่งอำเภอขุนหาญ (อำเภอที่ปลูกทุเรียนมากที่สุดของจังหวัดศรีสะเกษ) และเมื่อปีที่ผ่านมาเราเดินหลงเข้าไปตามเสียงรถแทรกเตอร์ที่กำลังปรับพื้นที่เพื่อปลูกทุเรียนก็ได้พบกับตัวเขาที่มีสวนอยู่อีกแปลงที่ทุเรียนกำลังใกล้ตัดและในวันนั้นคุณทองจรได้ค้นหาจนพบทุเรียนที่ร่วงหล่นลงมา 3 ลูก ทำการปอกให้เรารับประทาน พอทราบว่ามีงานเปิดตัวที่เราจะต้องไปตระเวนทำข่าวอีกครั้ง คุณทองจรก็รีบอาสาขอส่งทุเรียนภูเขาไฟอันลือลั่นมาเป็นตัวแทนทันที

เช่นเดียวกับตัวแทนภาคใต้ ผู้ใหญ่ดำรงค์ศักดิ์ สินศักดิ์ จังหวัดชุมพร เดิมนั้นตั้งใจจะมาร่วมงานด้วย แต่ด้วยภารกิจรัดตัวจึงขอส่งทุเรียนจากสวนมาเป็นตัวแทน และเนื่องจากที่สวนทุเรียนหมดรุ่น(ทำนอกฤดู) ต้องตระเวนหากันกว่าจะได้ขนาดผลที่ต้องการและจัดการส่งมาให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ที่จังหวัดพังงา คุณหมู แห่งร้านโง้วเม่งเฮง ตะกั่วป่าริเวอร์ บอกว่าปีนี้ทุเรียนสาลิกาที่สวนคุณนุช (คุณบุญสม มีเกิด) อำเภอกะปง กำลังจะทยอยตัด บอกกันเลยว่างานบุฟเฟ่ต์ทุเรียน 4 ภาค จะขาดทุเรียนสาลิกาไม่ได้ จึงรีบส่งมาให้ทันที พร้อมรูปภาพต้นจริง

ปิดท้ายที่ขอแนะนำคือ ทุเรียนมูซานคิง ทุเรียนดังขอมาเลเซียที่ข้ามถิ่นมาอยู่ที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา มาหลายปี ตอนนี้กำลังให้ผลผลิตดีวันดีคืน และรสชาติความอร่อยไม่แพ้ถิ่นเกิด ณ สวนศักดิ์ศรี ถือว่าเป็นสวนทุเรียนสายพันธุ์มาเลเซียใหญ่สุดของเบตง เจ้าของชื่อ คุณศักดิ์ศรี สง่าราศรี เกษตรกรรุ่นใหม่ที่แจ้งเกิดได้อย่างสวยงาม บอกว่าจะส่งมูซานคิงมาให้ชิม ซึ่งปีนี้ที่สวนตัดขายไปแล้ว 1 รุ่น รุ่นใหม่จะตัดช่วงกลางเดือนกรกฎาคม-ปลายเดือนนี้

“การจัดบุฟเฟ่ต์ทุเรียนและผลไม้ไทย 4 ภาค เพื่อต้องการให้ทุเรียนไทยและผลไม้ไทยเกิดการแพร่หลายในแง่ความหลากหลายของผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียนแต่ละท้องถิ่นจะมีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง อย่างเช่น ทุเรียนสาลิกาอำเภอกะปงเวลานี้ได้รับการยกระดับเป็นทุเรียน GI หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ไม่เหมือนที่อื่น และวัตถุประสงค์อีกอย่างหนึ่งคือต้องการสร้างการรับรู้ต่อการจัดงานเปิดตัวโครงการเกษตรคือประเทศไทย ปี 2 ซึ่งปีนี้เราได้โฟกัสที่จะออกตามหาสุดยอดเกษตรกรประเทศไทย หรือยอดมนุษย์เกษตรกรไทย โดยที่อาชีพเกษตรกรรมถือเป็นอาชีพที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ แต่อาชีพนี้ก็ยังไม่พัฒนาไปมากนัก ผู้ที่ทำอาชีพนี้คือเกษตรกรยังยากจน เราในฐานะสื่อมวลชนสายเกษตรจึงคิดว่าควรจะกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของอาชีพนี้ ให้ทุกคนมาช่วยกันคนละไม้คนละมือทำให้อาชีพเกษตรเกิดความยั่งยืน…ถ้าทำให้การเกษตรเจริญ ประเทศไทยก็เจริญ ตรงนี้คือแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พวกเราทุกคนตระหนักและต้องทำให้ได้” ลุงพร เกษตรก้าวไกล กล่าว

จึงขอเชิญชวนทุกท่านเข้าร่วมงานเกษตรคือประเทศไทยปี 2 ทั้งนี้ ตลาดไทได้เตรียมทุเรียนไว้ 100 ชุด ยังไม่รวมผลไม้อื่นๆ และทุเรียนทรงคุณค่าจากพี่น้องเกษตรกรไทย หรือสอบถามเพิ่มเติม : โทร.ไอดีไลน์ 081 3090599 (ลุงพร), 0863185789 (ศุภชัย), 0636239799, (อั๋น) หรือ 081-834-9344 (จตุพล)…ขอย้ำว่างานที่จัดนั้นไม่ใหญ่ บรรยากาศเรียบง่าย แต่สิ่งที่ตั้งใจทำนั้นยิ่งใหญ่และเกินกำลังของเรา เพราะเหตุนี้จึงต้องเชิญทุกท่านมาร่วมกันเติมพลังให้กันและกัน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ เพื่อความยั่งยืนของเกษตรประเทศไทยครับ

ทีมข่าว “เกษตรก้าวไกล” นำโดย นายพรศักดิ์ พงศาปาน หรือ “ลุงพร เกษตรก้าวไกล” บรรณาธิการผู้ก่อตั้งเว็บไซต์เกษตรก้าวไกล และเกษตรว้อยซ์ ถือฤกษ์ดี 9 กรกฎาคม 2562 เปิดตัวโครงการเกษตรคือประเทศไทย ปี 2 ตอน ตามหาสุดยอดเกษตรกรประเทศไทย (THAILAND Super Farmer) ซึ่งกิจกรรมครั้งได้จัดขึ้นในโอกาสที่เว็บไซต์เกษตรก้าวไกลได้เปิดดำเนินการมาครบ 4 ปี โดยมีหลักการว่าทีมงานเกษตรก้าวไกล จะจัดตั้ง “กองบรรณาธิการเคลื่อนที่” (Mobile editorial) เพื่อออกเดินทางไปยังพื้นที่เกษตรทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อตามหาเกษตรกรที่เป็นต้นแบบสาขาต่างๆ ภายใต้หลักคิด “เกษตรกรคือยอดมนุษย์” เมื่อไปถึงจุดไหนพื้นที่ใดก็จะรายงานข่าวผ่านเครือข่ายระบบสื่อสารสมัยใหม่ (Live สดพื้นที่เกษตรทั่วประเทศ) รวมทั้งการจัดเก็บข้อมูลข่าว ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เพื่อนำเสนอผ่านสื่อในเครือข่ายเกษตรก้าวไกลดอทคอม ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาเดินทางลงพื้นที่เกษตร ประมาณ 90 วัน และได้พบเกษตรกร ประมาณ 100 คน

“การจัดกิจกรรมเปิดตัวโครงการเกษตรคือประเทศไทยในปีนี้เราได้โฟกัสที่จะออกตามหาสุดยอดเกษตรกรประเทศไทย หรือยอดมนุษย์เกษตรกรไทย โดยที่อาชีพเกษตรกรรมถือเป็นอาชีพที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ แต่อาชีพนี้ก็ยังไม่พัฒนาไปมากนัก ผู้ที่ทำอาชีพนี้คือเกษตรกรยังยากจน ยังมีปัญหามากมาย เราในฐานะสื่อมวลชนสายเกษตรจึงคิดว่าควรจะกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของอาชีพนี้ ให้ทุกคนมาช่วยกันคนละไม้คนละมือทำให้อาชีพเกษตรเกิดความยั่งยืน…ถ้าทำให้การเกษตรเจริญ ประเทศไทยก็เจริญ ตรงนี้คือแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พวกเราทุกคนตระหนักและต้องทำให้ได้” ลุงพร เกษตรก้าวไกล กล่าว

สำหรับการจัดงานครั้งนี้ ซึ่งจัดขึ้น ณ บริเวณด้านหน้าอาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ได้รับเกียรติจากนายสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดี กรมส่งเสริมการเกษตร ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน และได้รับเกียรติจาก นายถาวร จิระโสภณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง ดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้บริหารสภาเกษตรกรแห่งชาติ ผู้บริหารธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) นายกสมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย รวมทั้งตัวแทนบริษัทเอกชนที่ให้การสนับสนุน ประกอบด้วย บริษัท ฟอร์ด ประเทศไทย จำกัด บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด (ประเทศไทย) จำกัด หรือศรแดง บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค และบริษัท ซุปเปอร์เอส เซ็นเตอร์ จำกัด

นายสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดี กรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวในระหว่างเปิดงานตอนหนึ่งว่า รู้สึกดีใจที่สื่อมวลชนเกษตรได้มีเจตนารมย์อันแน่วแน่ที่จะทำสิ่งสำคัญต่อประเทศนี้ ซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรม ถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก โดยเฉพาะปีที่ 2 นี้ได้เน้นเกษตรกรมี่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ หรือตามหายอดมนุษย์เกษตรกร และเมื่อได้ฟังว่ามีผู้สนับสนุนที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่หลายรายผมก็ขอชื่นชมยินดีที่ท่านทั้งหลายเห็นความสำคัญต่อภาคการเกษตร…

“โดยปกติแล้วนโยบายของทุกรัฐบาลที่ผ่านมาได้ให้ความสำคัญต่อ ภาคการเกษตร ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ และโดยเฉพาะรัฐบาลปัจจุบันได้บูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาเติมเต็มให้กับภาคการเกษตร ไม่ว่าภาครัฐหรือภาคเอกชน โดยเฉพาะในส่วนงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีท่านกฤษฎา บุญราช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการขับเคลื่อนนโยบายที่เข้มข้นมาก เน้นนโยบายการตลาดนำการผลิต และการลดต้นทุนเพิ่มผลผลิต พร้อมการสร้างระบบเครือข่ายเข้มแข็ง ดังเช่นการขับเคลื่อน โครงการเกษตรแปลงใหญ่ โครงการ Young Smart Farmer ฯลฯ ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตร เราได้ใช้ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ที่มีจำนวน 882 ศูนย์ทั่วประเทศ เป็นแกนกลาง โดยมุ่งเน้นการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ การถ่ายทอดความรู้และการแก้ไขปัญหาทางการเกษตรในพื้นที่อย่างทันท่วงที พร้อมกับเป็นตัวแทนระหว่างภาครัฐและเกษตรกร เพื่อการพัฒนาและยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดียิ่งขึ้น…” อธิบดี กรมส่งเสริมการเกษตร กล่าว

ไฮไลท์ของงานคือ พิธีตีธงปล่อยรถฟอร์ดเรนเจอร์ ซึ่งเป็นพาหนะที่ใช้ในการเดินทางครั้งนี้ และไฮไลท์ที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้มาร่วมงานคือ “บุฟเฟ่ต์ทุเรียนและผลไม้ 4 ภาค” โดยการสนับสนุนของ ตลาดไท และสร้างสีสันด้วยพิธีปอกทุเรียน 4 ภาค โดยประธานในพิธีและตัวแทนแขกผู้เกียรติที่มาร่วมงาน โดยได้รับการสนับสนุนทุเรียนจากตัวแทนเกษตรกรภาคต่างๆ

ที่ได้ส่งทุเรียนมาร่วมงาน เช่น ทุเรียนหลง-หลินลับแล (ภาคเหนือ) จากสวนคุณเรียม คำมงคล แห่งอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ทุเรียนภูเขาไฟ(ภาคอีสาน) จากสวนคุณทองจร มั่นสัตย์

เกษตรกรหนุ่มที่มีจิตใจงามแห่ง www.footballsoftpro.com อำเภอขุนหาญ (อำเภอที่ปลูกทุเรียนมากที่สุดของจังหวัดศรีสะเกษ) ทุเรียนชุมพร จากสวนของผู้ใหญ่ดำรงค์ศักดิ์ สินศักดิ์ เซียนทุเรียนคนดัง ทุเรียนสาลิกาจากสวนคุณนุช (คุณบุญสม มีเกิด) แห่งอำเภอกะปง จังหวัดพังงา ปิดท้ายด้วยทุเรียนมูซานคิง จากสวน คุณศักดิ์ศรี สง่าราศรี เกษตรกรรุ่นใหม่แห่งเบตง