เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตกุ้งในเขตภาคใต้ตอนบน ว่า ผลผลิตกุ้งปี 2563 ในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน อาทิ จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรม เป็นต้น คาดว่าจะมีประมาณ 85,000 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่ลดลงจากปีที่ผ่านมาเล็กน้อย แต่แม้ปริมาณผลผลิตจะลดลง เนื่องเนื่องจากปัญหาขี้ขาวในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึง EMS และไวรัสตัวแดงดวงขาว ทำให้ผลผลิตไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ แต่กลับพบว่า ขนาดกุ้งเฉลี่ยใหญ่ขึ้น
ทั้งนี้สำหรับมุมมองต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด–19 นายกสมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย กล่าวว่า อุตสาหกรรมกุ้งไทยนับว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดน้อยกว่าอาชีพอื่น และจากการดำเนินการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งจนเป็นที่ยอมรับในระดับโลก รวมถึงทั้งภาคผู้เลี้ยงและโรงงานแปรรูปใส่ใจเรื่องสุขอนามัยของคนงาน ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้สินค้ากุ้งไทยเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของผู้บริโภค
“สำหรับสถานการณ์กุ้งของไทย ปี 2563 นั้น จากการสรุปข้อมูลในภาพรวมที่แถลงโดยสมาคมกุ้งไทย นำโดย ดร.สมศักดิ์ ปณีตัธยาศัย นายกสมาคม ได้ชี้ว่า ประเทศไทยและอุตสาหกรรมกุ้งไทยมีความได้เปรียบ ในเรื่องภาพลักษณ์เรื่องคุณภาพ ความปลอดภัยอาหาร และปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ ทั้งเป็นแหล่งผลิตลูกพันธุ์กุ้งที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลก อาหารกุ้งที่มีประสิทธิภาพ และการที่ไทยสามารถบริหารจัดการเรื่องโรคโควิด-19 ในการควบคุมและจัดการโรคที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาล ส่งผลให้ประเทศไทยได้เปรียบกว่าประเทศคู่แข่ง” นายสมชาย กล่าว
สำหรับในส่วนของเกษตรกรผู้เลี้ยง ต้องผลิตกุ้งให้ได้คุณภาพ และต้องลดความเสียหายจากโรคให้ได้ โดยภาครัฐโดยเฉพาะกรมประมงจะต้องดำเนินการศึกษาวิจัยและหาแนวทางในการแก้ปัญหาโรคระบาด โดยเฉพาะอาการขี้ขาว ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ภาครัฐจะต้องสนับสนุนส่งเสริมทั้งในด้านการผลิตและการตลาด การประชาสัมพันธ์เชิงรุก โดยใช้จุดเด่นที่มี คือ กุ้งคุณภาพ ระบบการผลิตที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งระบบ โดยไม่ต้องแข่งขันด้านราคากับประเทศผู้ผลิตที่มีต้นทุนถูกกว่า
“อีกประการที่ทางสมาคมกุ้งไทย ได้เรียกร้องคือ การเจรจากับตลาดคู่ค้าเพื่อเปิดตลาดใหม่ๆ รวมถึงการเจรจา FTA โดยเฉพาะกับสหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร การให้โอกาสเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งรายย่อยเข้าถึงแหล่งทุน การเสริมสภาพคล่อง การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ให้กับภาคการผลิต ภาคการส่งออก และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าหากไทยใช้ศักยภาพเหล่านี้เต็มที่ โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วน หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย จะเป็นโอกาสสำหรับกุ้งไทยที่จะกลับมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมกุ้งได้อีกครั้งอย่างแน่นอน
“ส่วน สถานการณ์กุ้งของไทย ปี 2563 ทั้งนี้สมาคมกุ้งไทยได้ประเมินว่า ผลผลิตกุ้งเลี้ยงปี 2563 โดยรวมอยู่ที่ 270,000 ตัน ลดลงเมื่อเทียบกับผลผลิตกุ้งเลี้ยง ปี 2562 ที่อยู่ที่ประมาณ 290,000 ตัน ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาเรื่องโรคระบาด ความไม่มั่นใจเรื่องสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อตลาด และสถานการณ์ราคา ส่วนผลผลิตกุ้งทั่วโลกคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.3 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 3 เนื่องจากประเทศผู้ผลิตกุ้งหลักๆ มีผลผลิตกุ้งลดลง แทบทุกประเทศ ยกเว้นเอกวาดอร์ที่มีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ คาดปี 2564 ประเทศไทยจะมีผลผลิตกุ้งอยู่ที่ประมาณ 310,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15” นายสมชายกล่าว
ในช่วงที่เราจะเข้าสู่ปี 2564 ปีแห่งความหวังของคนทั่วโลก(ไม่เฉพาะคนไทย) เพราะเราเจอปัญหาวิกฤตโควิด 19 ทำให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจแทบดับสนิท แต่มองในมุมบวก นี่คือการสตาร์ทพร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง โดยจะมองว่าเป็นโอกาสของคนตัวเล็กหรือเกษตรกรรายย่อยได้หรือไม่ คำตอบอยู่ที่พวกเราทุกคน
การใช้ digital technology เพื่อพัฒนาเกษตรกรรมไทยให้ก้าวไปสู่การทำเกษตรอัจฉริยะตอบสนองเทรนด์การเกษตรโลกและเพิ่มขีดความสามารถให้กับเกษตรกรไทย ที่รัฐบาลเคยโหมประโคมในเรื่องเกษตร 4.0 จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นในการพัฒนาที่น่าศึกษาเรียนรู้และถือว่าเหมาะกับสถานการณ์ขณะนี้มาก โดยเมื่อ 2 วันที่แล้ว “เกษตรก้าวไกล” ได้ไปที่สมโภชน์เกาะช้างกับทีมงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ให้การสนับสนุนเรื่องเงินทุนและการส่งเสริมเป็นสวนเพื่อการท่องเที่ยว ได้เห็นว่ามีการนำเอานวัตกรรมและเทคโนโลยี มาปรับใช้กับการทำการเกษตร ซึ่งคำตอบที่ได้จากเจ้าของสวน “สมโภชน์ ทัศมากร” ก็ทำให้ทราบว่าลูกชายของเขา “เฉลิมพล ทัศมากร” ประธานเครือข่าย Young Smart Farmer แห่งเกาะช้าง จ.ตราด เป็นผู้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาปรับใช้ อย่างเช่นระบบน้ำที่สั่งการด้วยมือถือ ระบบตรวจวัดความชื้นผิวดินว่าชื้นมากน้อยแค่ไหน จะให้น้ำมากน้อยเพียงใด นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เกษตรกรไทยสามารถทำได้
คุณสมโภชน์เล่าให้ฟังว่าพอนำระบบน้ำอัจฉริยะแบบนี้มาใช้กับสวนก็ไม่ต้องลากสายยางแบบเก่าก่อน ซึ่งอนาคตตัวเขาเองก็อายุเริ่มเยอะคงลากไปมาไม่ไหว ซึ่งก็คงไม่ต่างกับสวนหรือฟาร์มอื่นๆที่แรงงานอยู่ในวัยสูงอายุเป็นส่วนใหญ่ และแรงงานที่จะมาทดแทนก็ใช่ว่าจะหาได้ง่าย แถมค่าแรงต่างๆอีกก็สูง แต่เมื่อนำระบบน้ำแบบนี้มาใช้จะทำให้สามารถลดแรงงาน ได้เวลากลับคืนมามีเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีกมากมาย
นอกจากนี้ยังมีระบบพ่นหมอกแบบไทม์เมอร์หรือตั้งเวลา ลดการสูญเสียปุ๋ย ทดแทนแรงงานคน เพราะว่าไม่เฉพาะพ่นน้ำสร้างความชื้นในชั้นบรรยากาศ แต่ยังสามารถพ่นปุ๋ยทางใบหรือฮอร์โมน รวมไปถึงสารชีวภัณฑ์ต่าง ยังไม่หมดยังมีชุดล่อแมลงพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งเวลาทำงานได้ เช่น จะให้ล่อตอนกลางคืนที่แมลงศัตรูกำลังมา แถมเคลื่อนย้ายไปวางตรงไหนก็ได้
นี่อาจเป็นแค่ตัวอย่างและการเริ่มต้นเล็กๆ แต่จริงๆ แล้วเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่จะสามารถนำมาปรับใช้ในสวนเกษตรของพี่น้องเกษตรกรได้มากโข ในขณะที่สวนสมโภชน์แห่งนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ในขณะที่อีกหลายส่วนยังไม่เริ่มต้น และอีกหลายส่วนก็อาจจะไปไกลกว่านี้แล้ว ถามว่าเกษตรกรรายย่อยที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศนี้ เราจะอาศัยกระแสตรงนี้สร้าง ให้มาเป็นจุดที่จะ startup พร้อมไปหรือเกาะกลุ่มกันไปกับกระแสตรงนี้ได้อย่างไร “เครื่องมือหรือแฟลตฟอร์มต่างๆได้ถูกออกแบบมาให้คนคนเดียวสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง” อย่าได้คิดว่าเกษตรกรจะใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่ได้ขอให้ดูช่วงนี้ที่เรามีโครงการคนละครึ่ง น้องของผมถึงกับลงทุนซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่เป็น Smartphone มาให้คุณแม่ใช้ ก็เท่ากับว่าเรามีเครื่องมือมีอาวุธอยู่ในมืออยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับเราเราจะใช้ให้มันมีประสิทธิภาพเพียงใด
เราเคยเห็นการซื้อขายออนไลน์ผ่านมือถือของเกษตรกรรุ่นใหม่จำนวนมากเวลานี้ แต่ถามว่ามีเกษตรกรรุ่นเก่า(รุ่นบุกเบิก)อีกกี่ล้านคนที่ยังใช้เครื่องมือตรงนี้ได้ไม่เต็มร้อย(มีอาวุธอยู่ในมืออยู่แล้ว) “เกษตรก้าวไกล” ในฐานะที่เป็นสื่อมวลชนเกษตรรายย่อย มองเห็นว่าเราจำเป็นที่จะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อที่จะช่วยกันฉุดเกษตรกรรายย่อยของเราให้ลุกตื่นขึ้นมา จึงขอประกาศว่า ในปี 2564 นี้ เราก็จะออกเดินทางไปตามโครงการเกษตรคือประเทศไทยเช่นเดิม ในการเดินทางครั้งนี้สิ่งที่เราฝันตลอด 3 ปีที่ผ่านมาก็คือจะมีโครงการ #DigitalforFarmer คือนำเทคโนโลยีความรู้ใหม่ๆไปถ่ายทอดกับพี่น้องเกษตรในชุมชนต่างๆ แต่ว่าเราลำพังคนเดียวคงทำได้ยาก #เราร่วมมือกันมากพอแล้วหรือยัง? จึงขอเชิญชวนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน หรือองค์กรต่างๆ มาร่วมมือกัน #เกษตรก้าวไกลไปด้วยกัน เรามีความพร้อมที่จะออกเดินทางและเชื่อมโยงกลุ่มเกษตรกรในชุมชนต่างๆ ท่านมีกำลังส่วนไหนก็มาบวกกัน เราพร้อมที่จะเดินวิ่งไปด้วยกันเพื่อช่วยกันพัฒนาเกษตรไทยให้เจริญ
“จากตัวเลขของกสิกรไทยปี 62 คนไทยอยู่ในภาคเกษตร 1 ใน 3 แต่ตัวเลข GDP(ผลิตภัณฑ์มวลรวม) มีแค่ 8 % นั่นหมายถึงว่าช่องว่าในการพัฒนาเกษตรของเราให้เพิ่มมูลค่ายังมีอีกมาก นวัตกรรมและเทคโนโลยีเท่านั้นที่จะเป็นตัวช่วยทำให้เราก้าวทัน ถ้าเรายังคิดว่าจะทำเกษตรเป็นธุรกิจ” หลังวิกฤตโควิด 19 จึงเป็นความหวังของเกษตรประเทศไทย ความหวังของคนตัวเล็กที่จะวิ่งตามคนตัวใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้งแล้วครับ
“คลองดำเนินสะดวก” ลำน้ำสำคัญที่ไม่เพียงแต่หล่อเลี้ยงชีวิตเกษตรริมสองฝากเท่านั้น แต่ยังเป็นทางน้ำประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ไทยถึง 3 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ที่ทรงดำริให้ขุดขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางการค้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จประพาสต้น และพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่
“คลองดำเนินสะดวก” จึงเป็นหนึ่งในเส้นทางที่น่าสนใจ และควรไปเยือนตามโครงการท่องเที่ยว “วิถีคลอง วิถีไทย ตามรอยเสด็จคลองดำเนิน” ซึ่งสวนเกษตรแม่ทองหยิบ ตั้งอยู่ที่ 153 หมู่ 8 ตำบลศรีสุราษฎร์ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี โทร. 09-9212-8682 คือหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่ต้องแวะในเส้นทางการท่องเที่ยว “วิถีคลอง วิถีไทย ตามรอยเสด็จคลองดำเนิน” เพื่อสัมผัสเสน่ห์อันเป็นอัตลักษณ์ของวิถีชีวิตชาวคลองดำเนินสะดวก
สวนเกษตรแม่ทองหยิบ 1 ใน 4 จุดเที่ยว
“สวนเกษตรแม่ทองหยิบ เป็น 1 ใน 4 จุดในเส้นทางการท่องเที่ยว “วิถีคลอง วิถีไทย ตามรอยเสด็จคลองดำเนิน” โดยจุดเริ่มต้นสำหรับการท่องเที่ยวเส้นทางนี้ เริ่มที่วัดโชติกทายการาม ซึ่งเป็นจุดตามรอยเสด็จ เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ส่วนจุดที่สอง คือ บ้านมหาดเล็ก เจ็กฮวด ที่นี่ทุกคนจะได้ตื่นตาตื่นใจกับเมนูอาหารที่ทำถวาย รัชกาลที่ 5 จุดที่สาม คือที่สวนเกษตรแม่ทองหยิบแห่งนี้ ในกิจกรรมของการล่องเรือชมสวน ศึกษาวิถีเกษตรเป็นการน้อมนำศาสตร์พระราชามาปรับใช้กับวิถีเกษตร จากเกษตรเซิงเดี่ยวมาเป็นเกษตรผสมผสาน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไฮไลท์ของที่นี่คือ การพายเรือชมสวน เก็บผักและผลไม้ตามฤดูกาล และจุดที่สี่ สุดท้าย คือ ตลาดเหล่าตั๊กลัก ซึ่งจะได้ชมพิพิธภัณฑ์ และเลือกซื้อของฝากของที่ระลึก”
“ไพศาล ศรีเอี่ยมกูล” เกษตรกรเจ้าของสวนเกษตรแม่ทองหยิบ และยังเป็นประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสวนเกษตรแม่ทองหยิบ บอกกล่าวถึงสิ่งที่จะทำให้เกิดความสุขกับทริปการท่องเที่ยว “วิถีคลอง วิถีไทย ตามรอยเสด็จคลองดำเนิน” อันเป็นหนึ่งการท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมาอย่างต่อเนื่อง
พี่ไพศาล เป็น 1 ใน 7 พี่น้องที่เป็นลูกของ แม่ทองหยิบ ศรีเอี่ยมกูล เกษตรกรชาวคลองดำเนินสะดวกที่เลี้ยงชีพและครอบครัวด้วยการทำการเกษตรและเป็นหนึ่งในเกษตรกรหัวก้าวหน้าที่เป็นต้นแบบของการพัฒนาสวนเกษตรของตนเองให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร สร้างรายได้เพิ่มอีกทางจากเดิมที่เคยเน้นแต่จำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรอย่างเดียว
ซึ่งแต่เดิมที่นี่เน้นการทำเกษตรแบบเชิงเดี่ยว ทำให้มีรายได้ไม่ต่อเนื่อง แม่ทองหยิบและลูก ๆ จึงหันมาทำสวนเกษตรแบบผสมผสาน ซึ่งสามารถผลผลิตผลผลิตได้ตามฤดูกาลได้ตลอด จึงทำให้มีรายได้ตลอดทั้งปี
35 ไร่ กับความงามแห่งวิถีชาวสวน
แต่สำหรับวันนี้ สวนเกษตรแม่ทองหยิบ บนพื้นที่ 35 ไร่ คือแหล่งผลิตพืชผลทางการเกษตรที่หลากหลาย โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นธงนำ ที่มีทั้ง มะม่วง มะพร้าว มะนาว มะขาม กล้วย และผักส่วนครัว เป็นต้น
เสน่ห์ของสวนแห่งนี้มีความเพียบพร้อมทั้งความงดงามแห่งวิถีชีวิตเกษตรกรที่ผูกพันกับคลองดำเนินสะดวก ที่ยังคงอนุรักษ์สวนแบบดั้งเดิมไว้ครบเครื่อง ทั้งฝั่งที่เป็นสวนมะนาวและละมุดกระสวยมาเลย์ที่ปลูกหลุมเดียวกัน และอีกฝั่งที่เป็นสวนมะพร้าวน้ำหอม ที่เจ้าของมุ่งออกแบบให้มีร่องสวนกว้าง สะอาดสะอ้าน สามารถล่องเรือไปได้สุดสวน และมีมะพร้าวน้ำหอมไว้บริการนักท่องเที่ยว
พี่ไพศาลได้คิดค้นการปลูกแบบผสมผสาน โดยใช้แนวคิดการปลูกแบบ “เกื้อกูลกัน” คือ พืชหลักของสวนคือมะพร้าวและส้มโอ มะพร้าวกับฝรั่งและมะนาว และมีพืชอื่นแซมเข้ามาเรื่อย ๆ โดยมีมะม่วงอกร่องปลูกตามคันสวน
ทำต้องปลูกพืชร่วมกันระหว่าง มะพร้าวกับส้มโอ มะนาว พี่ไพศาลอธิบายว่า เพราะมะพร้าวนั้น นอกจากมีใบให้ร่มเงา รากช่วยยึดดินคันร่องไว้
“รากมะพร้าวช่วยดูดน้ำ ทำให้ดินแห้ง กลับมาร่วนซุย เกื้อกูลกับส้มโอ และมะนาว ที่ชอบดินแห้ง รากหาอาหารได้ดี ทำให้ได้ผลผลิตดี” พี่ไพศาลกล่าว
มะนาวและละมุด “ต้นไม้กอดกัน”
ขณะเดียวกันยังมีผลงานการพัฒนาที่เป็นภูมิปัญญาของพี่ไพศาลที่ที่ได้คิดค้นทดลอง และดัดแปลงจากการที่พี่ไพศาลได้ไปดูงานจากที่ต่าง ๆ และนำมาปรับใช้จนได้ผลดีในการลดต้นทุน ลดแรงงาน เป็นสวนที่ปลูก มะนาวกับละมุด ที่มาของ “ต้นไม้กอดกัน” พากันให้ผลผลิต
“ต้นไม้กอดกัน” จึงเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของสวนแห่งนี้ นอกเหนือจากการมีบรรยากาศอันร่มรื่นชื่นใจ ถือเป็นรูปแบบการปลูกพืชที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการปลูกมะนาวแป้นรำไพและละมุดกระสวยมาเลย์อยู่ในหลุมเดียวกัน เรียกว่าหวานกับเปรี้ยวมาอยู่ด้วยกัน สื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการสร้างความรักและความอบอุ่นให้แก่กันและกัน
ละมุดพันธุ์กระสวยมาเลย์ มะนาวพันธุ์แป้นรำไพ
“ละมุดกับมะนาว ที่อยู่คู่กันได้ เพราะละมุดเป็นพืชที่มีความทน แมลงไม่ชอบ ลูกมีผิวสากกระด้างเพลี้ยไม่ชอบ ใบ ไม่เป็นราง่าย เพราะมีความหนาและแข็ง ส่วนรากสามารถชอนไชหาอาหารได้ดีทำให้ได้ผลผลิตที่ดี”
ทำไมต้องปลูกในหลุมเดียวกันและทำให้กอดกัน ?
“เพราะ กิ่งของละมุดนั้น ใช้ในการค้ำกิ่งก้านของต้นมะนาวแทนการใช้ไม้ค้ำ เป็นการลดต้นทุนการผลิต ลดค่าแรงงาน ลดเวลาในการดูแลรักษา และได้ผลผลิตที่ดี” พี่ไพศาลกล่าว และบอกว่า “ที่สำคัญอีกประการคือ สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากพืชทั้ง 2 ชนิดไปขายได้อย่างต่อเนื่อง”
ธ.ก.ส.พร้อมหนุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
จากความโดดเด่นของสวนเกษตรแม่ทองหยิบในวันนี้ ได้กลายเป็นหนึ่งในต้นแบบของการเรียนรู้ของผู้ที่สนใจ ภายใต้การสนับสนุนของหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส.
“สวนเกษตรแม่ทองหยิบ คือหนึ่งในจุดน่าสนใจทั้งในด้านการประกอบอาชีพการเกษตร และการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร เป็นต้นแบบของการพัฒนาของเกษตรกรที่ทางธ.ก.ส.พร้อมให้การสนับสนุนทั้งในด้านสินเชื่อ และการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนทั่วไป” นายคงทน ศรีชื่น ผู้ช่วยผู้จัดการธ.ก.ส.สาขาดำเนินสะดวก กล่าว
ด้วยการต่อยอดชุมชนต่าง ๆ ให้เกิดการพัฒนาก้าวไปสู่ชุมชนท่องเที่ยว จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพเสริม เป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชน ลดปัญหาการย้ายถิ่นฐาน ชาวบ้านเกิดความรักความหวงแหนในทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนประเพณีและวัฒนธรรมของท้องถิ่นตนเอง อันนำไปสู่การสร้างชุมชนอุดมสุข ที่มีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน คือ หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส.
ธ.ก.ส. นับเป็นธนาคารที่อยู่เคียงข้างเกษตรกรและภาคเกษตรมายาวนาน และยังคงมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และการมุ่งเป็นธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน มุ่งสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชนบท
การได้มีโอกาสเดินทางมาสัมผัสกับความงดงามแห่งวิถีเกษตรกรคลองดำเนินสะดวกในครั้งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งการทำงานเพื่อสนับสนุนเกษตรกรในด้านการช่วยประชาสัมพันธ์ ที่มีเป้าหมายสำคัญเพื่อการสร้างสุขให้กับเกษตรกรและส่งสุขนั้นไปยังผู้ที่กำลังหาสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่างสวนเกษตรแม่ทองหยิบแห่งนี้
สทนช.เร่งเครื่องวางแผนหลักการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก ติดตามการบริหารจัดการ“อ่างเก็บน้ำคลองบางเหนียวดำ” และโครงการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล เตรียมพร้อมรับมือการท่องเที่ยว “ภูเก็ต”กลับมาบูม ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำพุ่งกระฉูด คาดปี 2582 ต้องใช้น้ำมากถึง 124.22 ล้าน ลบ.ม.
วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยมีนายปิยพงศ์ ชูวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตให้การต้อนรับ เลขาธิการสทนช.เปิดเผยว่า การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นหนึ่งพื้นที่ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตกที่ สทนช. อยู่ในระหว่างดำเนินการโครงการศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์และแผนหลักการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (SEA)
มีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ 11 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ชุมพร ตรัง นครศรีธรรมราช พังงา พัทลุง ภูเก็ต ระนอง สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี โดยได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยนเรศวรและกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาอย่างรอบด้านทั้งด้านวิศวกรรม อุตุ-อุทกวิทยา สภาพภูมิสังคม รวมถึงได้ทบทวนผลการศึกษาและการดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันผู้ศึกษาได้ลงพื้นที่พบปะประชาชนกว่า 70 ครั้ง เพื่อสอบถามความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และนำมาประกอบการจัดทำรายงานการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ ของพื้นที่ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก พร้อมจัดทำแผนหลักการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก 20 ปี และแผนปฏิบัติการ 5 ปี ตลอดจนการพัฒนาแหล่งน้ำและแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) โดยจะดำเนินการศึกษาแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2564
สำหรับจังหวัดภูเก็ต เป็นจังหวัดที่สำคัญในพื้นที่ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตกที่มีอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวที่ทำให้มีโรงแรมที่พักเกิดขึ้นในแทบทุกพื้นที่ตั้งแต่หัวเกาะจรด ท้ายเกาะ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเฉลี่ยปีละกว่า 14 ล้านคน สามารถนำรายได้เข้าประเทศถึงปีละกว่า 4 แสนล้านบาท แต่เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะล้อมรอบด้วยทะเล จึงทำให้แหล่งน้ำต้นทุนมีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งสวนทางกับปริมาณความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยจากการศึกษาพบว่าในปี 2562 มีความต้องการใช้น้ำรวมประมาณ 80.86 ล้าน ลบ.ม. (ไม่รวมการใช้น้ำการเกษตรนอกเขตชลประทาน) และคาดการณ์ว่าในปี 2572 จะเพิ่มเป็น 103.18 ล้าน ลบ.ม. และภายในปี 2582 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 124.22 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวทำให้สถานการณ์น้ำจังหวัดภูเก็ต อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการน้ำที่ดี เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของภาคส่วนต่าง ๆ อย่างครอบคลุม
“ปัจจุบัน จังหวัดภูเก็ต มีน้ำต้นทุนประมาณ 27.14 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี (เป็นน้ำจากแหล่งเก็บกักน้ำผิวดิน 20.59 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี หรือร้อยละ 75.87 น้ำใต้ดิน 2.55 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี หรือร้อยละ 9.40 และการผลิตน้ำจืดจากทะเล 4 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี หรือร้อยละ 14.73) แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ ขณะที่การผลิตน้ำประปาปัจจุบันมีกำลังการผลิตประมาณ 125,800 ลบ.ม.ต่อวัน หรือ 45 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ซึ่งก็สามารถให้บริการได้เพียงร้อยละ 70 ของจำนวนผู้ต้องการใช้น้ำเท่านั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดวางแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้สอดคล้องทั้งปริมาณน้ำต้นทุนที่มีความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้น และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำต้นทุนทั้งน้ำจืด น้ำทะเล น้ำใต้ดิน รวมถึงมีการวางแผนการส่งเสริมการผลิตน้ำประปาอย่างมีประสิทธิภาพ รองรับกับปริมาณ ความต้องการใช้น้ำในอนาคตและเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวไปพร้อม ๆ กัน
“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จังหวัดภูเก็ต เกิดภาวะขาดแคลนน้ำ จนต้องทำให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะจังหวัดต้องร่วมมือกันทุกรูปแบบ แก้ไขปัญหาจนผ่านพ้นไปได้ โดยรัฐบาลได้จัดสรรงบกลาง ปี 2563 ให้จังหวัดภูเก็ต จำนวน 3 ครั้ง1,104 โครงการ วงเงิน 1,963.55 ล้านบาท ดำเนินการโดย 7 หน่วยงาน ประกอบด้วย การประปาส่วนภูมิภาค กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมเจ้าท่า กระทรวงมหาดไทย กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกองทัพบก ได้ปริมาณน้ำดิบ 10.13 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำ 3.20 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่รับประโยชน์ 42,297 ไร่ และครัวเรือนรับประโยชน์ 10,770 ครัวเรือน ซึ่งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.)
ที่มี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้มอบหมายให้ สทนช.ดำเนินการจัดทำแผนหลักการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาในระยะยาวต่อไปด้วย” ดร.สมเกียรติ กล่าว
ทั้งนี้ คณะเลขาธิการ สทนช. ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำที่อ่างเก็บน้ำคลองบางเหนียวดำ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 อ่างเก็บน้ำ (อ่างเก็บน้ำบางวาด อ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ และอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ)
ที่เป็นแหล่งน้ำดิบที่สำคัญสำหรับการผลิตน้ำประปา โดยทั้ง 3 แห่ง สามารถกักเก็บน้ำดิบได้รวมกันประมาณ 30 ล้าน ลบ.ม.(รวมระบบสูบกลับ) และได้เดินทางไปติดตามการดำเนินงานของโรงผลิตน้ำทะเลเป็นน้ำจืด ของ บริษัท อาร์ อี คิว วอเตอร์ เซอร์วิสเซส จำกัด โดยการแยกเกลือออกจากน้ำทะเลด้วยเทคโนโลยี Reverse Osmosis ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 10,000-12,000 ลบ.ม.ต่อวัน โดยน้ำประปาที่ได้จะส่งไปให้พื้นที่การท่องเที่ยวบริเวณหาดกะรน หาดกะตะและหาดกะตะน้อย ในอัตราร้อยละ 35 ที่เหลืออีกร้อยละ 65 จะส่งไปยังพื้นที่หาดป่าตองเพื่อเป็นน้ำอุปโภคบริโภคสำหรับการท่องเที่ยวต่อไป
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว คนไทยเราเริ่มที่จะสังเกตเห็นว่าสภาวะอากาศรอบตัวนั้นเปลี่ยนแปลงไป บางวันอากาศก็ดูมืดสลัวคล้ายกับเมืองในหมอก พร้อมๆ กับรับรู้ข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือฝุ่น PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐานในหลายจังหวัด ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ด้วยเหตุนี้ สังคมจึงเกิดการตื่นตัว เฝ้าระวัง หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ก็ได้กำหนดนโยบายและมาตรการการดำเนินงานเพื่อป้องกัน ควบคุมปัญหาฝุ่นละอองดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 นั้น หากเป็นในเมืองใหญ่ ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการจราจร, การก่อสร้าง ขณะที่ในต่างจังหวัด ปัญหาฝุ่นละอองมักเกิดจากการเผาในที่โล่งแจ้งหรือการเผาในภาคเกษตรกรรม และเมื่อประกอบกับช่วงเวลาที่สภาพอากาศปิด ลมสงบ ไม่ถ่ายเท ก็ยิ่งส่งผลให้เกิดการสะสมของฝุ่นละออง โดยที่ผ่านมา ภาคการเกษตรมักจะถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 จากการเผาพืชผลทางเกษตรหรือเศษชีวมวลต่าง ๆ ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว เช่น เผาฟางข้าว ซังข้าวโพด หรือเผาอ้อย
ในเรื่องนี้ คุณบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการบริษัท กลุ่มมิตรผล ได้ให้มุมมองไว้ว่า “ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรบางส่วนเลือกที่จะเผาวัสดุทางการเกษตรในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว อาทิ เช่น เผาฟางข้าว ซึ่งประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวกว่า 60 ล้านไร่, ซังข้าวโพดซึ่งมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 6.53 ล้านไร่ หรืออ้อยซึ่งมีพื้นที่ปลูกในประเทศรวม 11.95 ล้านไร่ เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทันเวลา แต่การเผาก็จะทำให้สูญเสียคุณภาพผลผลิต รวมถึงส่งผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งเป็นพื้นฐานการเจริญเติบโตที่จำเป็นของพืช อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาหลายภาคส่วนมีความพยายามที่จะร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้ โดยผมมองเห็นว่าทางออกในการแก้ไขปัญหาเรื่องการเผาในภาคเกษตรอย่างยั่งยืนสำหรับประเทศไทยนั้นประกอบด้วย 4 แนวทางด้วยกัน ได้แก่
เปลี่ยนวิธีการทำการเกษตรแบบดั้งเดิมเป็นเกษตรสมัยใหม่ เริ่มต้นตั้งแต่การวางแผนการปลูก บำรุง เก็บเกี่ยว ที่จะต้องนำนวัตกรรม เทคโนโลยี เครื่องจักรกลการเกษตรขนาดกลางและเล็ก เข้ามาใช้แทนแรงงานคนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุน และช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งสำหรับการทำไร่อ้อยแล้ว กลุ่มมิตรผลได้ส่งเสริมแนวทางการทำไร่อ้อยสมัยใหม่ตามหลัก “มิตรผล โมเดิร์นฟาร์ม” ให้แก่ชาวไร่อ้อยมา 5-6 ปี ซึ่งทำให้ปริมาณอ้อยไฟไหม้ของกลุ่มมิตรผลน้อยลง ตัวอย่างเช่น โรงงานน้ำตาลมิตรภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ มีอ้อยสดเข้าหีบสูงถึง 99%
ส่งเสริมให้ความรู้เกษตรกรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตระหนักว่าการทำการเกษตรแบบยั่งยืนที่ดูแลสิ่งแวดล้อมจะช่วยให้ชาวไร่ได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งในแง่ของคุณภาพของผลผลิตและรายได้ และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและสมดุลในระบบนิเวศน์ ลดการใช้สารเคมีในภาคเกษตร ทำให้เกษตรกรไทยสามารถประกอบอาชีพเกษตรได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการถ่ายทอดความรู้ และสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับเครื่องจักรกลการเกษตรให้กับเกษตรกร เช่น รถตัดอ้อย รถสางใบอ้อย รถอัดใบอ้อย เครื่องคลุกใบอ้อยเพื่อใช้เป็นวัตถุอินทรีย์ในดิน เป็นต้น
สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุชีวมวลทางการเกษตร เช่น ใบอ้อย ฟางข้าว ที่นอกจากจะใช้คลุมดินช่วยป้องกันวัชพืช รักษาความชื้น เป็นอินทรีย์วัตถุให้กับดินแล้ว ยังสามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงเสริมเพื่อผลิตไฟฟ้าชีวมวล พลังงานสะอาด ลดการใช้น้ำมันฟอสซิลซึ่งเมื่อเกษตรกรเห็นว่าวัสดุชีวมวลเหล่านี้มีคุณค่า สามารถสร้างรายได้ สร้างงาน สร้างอาชีพก็จะเลิกเผา
บูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพลังงาน หน่วยงานในท้องถิ่น รวมถึงภาคเอกชน และเกษตรกร ซึ่งหากมีการบูรณาการแผนการดำเนินงานกันอย่างเข้มแข็ง และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวมถึงเข้มงวดกวดขันเรื่องการเผาอ้อย ก็จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้พร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เช่นในปีนี้ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมมือกันรณรงค์ให้งดเผาและตัดอ้อยสดให้มากขึ้น โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้มีนโยบายให้ตัดอ้อยสดเข้าหีบไม่น้อยกว่า 80% ในฤดูการผลิตปีนี้ ซึ่งกลุ่มมิตรผลคาดว่าในฤดูหีบนี้ จะสามารถตัดอ้อยสดได้ตามเป้าหมายของภาครัฐถึงแม้ว่าจะประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร รวมถึงสถานการณ์โควิด-19”
“ผมมองเห็นว่าเกษตรสมัยใหม่คือจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาคเกษตรของไทยให้สามารถแข่งขันบนเวทีโลกได้ ทั้งในด้านของคุณภาพและปริมาณผลผลิต เราจึงต้องส่งเสริมให้เกษตรกรมีทัศนคติที่อยากปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็น Smart Farmer เป็นเกษตรยุคใหม่ที่ใช้หลักการบริหาร เทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาปรับใช้ รวมถึงให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม เพราะหากไม่ปรับตัวในวันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องฝุ่นที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ภาคเกษตรยังต้องเผชิญกับปัญหาภัยแล้งหรือน้ำท่วมที่มีผลจากปัญหาโลกร้อนและสภาพอากาศแปรปรวน รวมถึงการแข่งขันในตลาดอุตสาหกรรมเกษตรระดับโลกที่ท้าทายมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตและรายได้”
คุณบรรเทิง กล่าวสรุป
สำหรับฤดูการผลิตประจำปี 2563/2564 โรงงานน้ำตาลกลุ่มมิตรผล ในจังหวัดสุพรรณบุรี สิงห์บุรี ขอนแก่น ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ เลย และอำนาจเจริญ ได้เปิดโครงการรับซื้อใบอ้อยและฟางข้าวจากชาวไร่ ตันละ 1,000 บาท (ราคาหน้าโรงงาน) อย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าชีวมวล ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 15 มีนาคม 2564 โดยในปีนี้ มีเป้าหมายที่จะรับซื้อใบอ้อยและฟางข้าวจากชาวไร่จำนวน 380,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 380 ล้านบาท นับเป็นการส่งเสริมให้ชาวไร่มีรายได้เพิ่มขึ้น ท้องถิ่นมีอาชีพ เกิดการจ้างงานในชุมชน เศรษฐกิจระดับท้องถิ่นหมุนเวียน ช่วยลดภาระเศรษฐกิจที่ภาครัฐต้องสนับสนุน ทั้งยังได้ดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ลุงทุยหรือเถ้าแก่ทุย (คุณประสงค์ ภู่ทอง) เล่าถึงความเป็นมาของโค้งพันล้าน ให้กับทีมงานเกษตรก้าวไกลฟัง ในวันที่เราเดินทางไปเยือนถึงด่านเกวียน อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา พร้อมกับทีมงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)สาขาโชคชัย
เถ้าแก่ทุย เล่าว่า จริงๆ แล้วด่านเกวียนเน้นการปั้นดินเผามานานแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษ เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่พามาทำตั้งแต่จำความได้ อยู่ในวงการเครื่องปั้นดินเผามานาน ส่วนมากเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนจะส่งออก 80 เปอร์เซ็นต์ ขายในประเทศเพียง 20 เปอร์เซ็นต์
“ผมทำเครื่องปั้นดินเผาเจ๊งมาแล้วถึง 3 รอบ แต่ก็สู้มาจนวันนี้ เริ่มจากพ่อผมมีรถอีแต๋น จึงไปเก็บฟืนมาขาย แต่ไม่มีใครซื้อ จึงมากองรวมก้นไว้ที่บ้าน มีคนมาชักชวนให้มาทำเครื่องปั้นดินเผา เริ่มจากเพื่อนๆ และลูกน้องเรียกไอ้ทุย เมื่อทำเครื่องปั้นดินเผา ผมก็เลี้ยงเหล้าลูกน้องทุกวัน อายุผมเพียง 22 ปี ลูกน้องจึงเริ่มเรียกเถ้าแก่ ทำให้หลงตัวเอง สั่งคนทำอย่างเดียว ตัวเองไม่มีประสบการณ์ ไม่เป็นงานเลย จึงเจ๊งรอบแรก ส่วนครั้งที่ 2 ข้าราชการ อ.ปักธงชัย เขามาชวนหุ้นกัน เราก็ร่วมหุ้น แต่เขาปล่อยให้ผมทำคนเดียว ส่วนหุ้นส่วนผม 4 คนพากันไปกินไปเที่ยวในโรงแรม ทิ้งให้ผมลำบากอยู่คนเดียว จึงเจ๊งเพราะหุ้นส่วน และเลิกกันก่อน ส่วนครั้งที่ 3 เจ๊งเพราะความโลภ เราเผาแผ่นหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ไม่ขอขมาหลวงพ่อคูณ ของที่เผามาจึงแตกเสียหายนับสิบเตา ลงทุนเตาละเป็นหมื่น ปู่ย่าตายายก็บอกว่า ไปเผาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ขออนุญาตจึงไม่ประสบความสำเร็จ” เถ้าแก่ทุย ย้อนอดีตให้ฟัง
เถ้าแก่ทุย เล่าอย่างภาคภูมิใจว่า ผมมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ด้วยความที่เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ได้รับอานิสงส์จากธ.ก.ส. ที่ไปกู้เขามา เพราะกู้ธ.ก.ส.มาตั้งแต่ปี 2538 โดยไปคุยกับธ.ก.ส.และกสิกรไทยซื้อที่ดินเพิ่มอีก ซื้อมาในราคา 2.5 ล้านบาท จำนวน 4 ไร่ 3 งาน แต่มาปรับถมดินเองหมดเงินอีกนับล้านบาท
ประมาณปี 2549 เริ่มมีคนมาขอเช่า และมีการเซ้งต่อๆ กันไป ทำให้การค้าขายคึกคัก โดยเฉพาะปี 2551 มีการเซ้งต่อๆกันหลายราย ร่ำรวยไปหลายคน มีคนมาเช่าเต็ม ระยะหลังมีคนไม่จ่ายค่าเช่า เมื่อหมดสัญญาพากันเลิกไป แล้วจึงยึดมาทำโรงปั้นดินเผาอย่างทุกวันนี้
ผมมีลูก 3 คน ลูกสาวคนแรก มารับสืบทอดบริหารร่วมกับพ่อแม่ ลูกสาวจบใหม่ๆ มาก็ไปทำงานที่อเมซอนก่อน แต่ก็ลาออกมาสืบทอดเจตนารมณ์ของพ่อ คนที่สองเขาไปทำงานอยู่ที่กรมทรัพยากรน้ำ ส่วนคนสุดท้องกำลังเรียนหนังสืออยู่
ในส่วนของ คุณวีระชัย คำจันทร์ลา สมัครพนันออนไลน์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. สาขาโชคชัย และ คุณประเสริฐศักดิ์ ไชยจารุวณิช พนักงานพัฒนาธุรกิจ 7 ธ.ก.ส. สาขาโชคชัย กล่าวว่า มาเจอลุงทุยตั้งแต่เริ่มต้น สนับสนุนสินเชื่อให้ซื้อที่ดิน จนมาสนับสนุนสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย ถ้าลุงทุยมีการขยายธุรกิจหรือขยายหน้าร้านใหม่ ก็ไปติดต่อธ.ก.ส.ได้ เพราะธนาคารเห็นศักยภาพของลุงทุย