ต่อประเทศชาติ และประชาชนในทุกหมู่เหล่า ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงห่วงใยพสกนิกรและพระราชทานแนวนโยบายให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ติดต่อจัดหาวัคซีนป้องกันโควิดเพื่อช่วยเหลือรัฐบาลในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน โดยเฉพาะการช่วยเหลือราษฎรผู้ด้อยโอกาส
ผู้พิการ และผู้ประสบความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 อีกทั้งยังทรงห่วงใยต่อสถานการณ์แพร่ระบาดที่เกิดขึ้นในชุมชนและแรงงานที่อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ยารักษาโรคโควิด 19 อาจมีจำนวนไม่เพียงพอ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี จึงทรงมีพระวินิจฉัยให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จัดยาฟาวิพิราเวียร์ จำนวน ๑๐,๐๐๐ เม็ด
เพื่อพระราชทานแก่กรุงเทพมหานคร ในการช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด 19 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔ เป็นต้นมา ทรงมีพระดำรัสพระราชทานกำลังใจแก่บุคลากรผู้ปฏิบัติงานช่วงวิกฤตโควิด 19 ทั้งทีมแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่เป็นกำลังหลักทุ่มเทดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 19 อย่างเต็มกำลังความสามารถ อีกทั้งต้องรับภาระและความเสี่ยงสูงในการเป็นแนวหน้าต่อสู้กับสถานการณ์ดังกล่าว และพระราชทานกำลังใจแก่ประชาชนและผู้ป่วยให้หายดี
กลับมาใช้ชีวิตตามปกติกับครอบครัวอันเป็นที่รักได้โดยเร็ว รวมถึงโปรดให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรุงเทพมหานคร จัดหน่วยฉีดวัคซีนโควิด 19 ภาคสนาม ณ อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นับเป็นพระกรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ในน้ำพระทัยและความห่วงใยที่มีต่อปวงชนชาวไทยท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโควิด 19
ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงรับการถวายรางวัล“ IUTOX 2013 Merit Award” จากสหภาพพิษวิทยานานาชาติ ในพิธีเปิดการประชุมวิชาการด้านพิษวิทยานานาชาติ ครั้งที่ ๑๓ เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี จากผลงานที่ทรงอุทิศพระองค์ในการจัดทำโครงการฝึกอบรมด้านพิษวิทยา และการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการได้รับสารเคมีในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
โดยเฉพาะเอเชียอาคเนย์ ที่ได้ทรงดำเนินการมานับตั้งแต่ทรงสถาปนาสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ทรงให้ความสำคัญในด้านการพัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะด้านพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ส่งผลให้โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme/UNEP) แต่งตั้งให้สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านพิษวิทยาสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ พระองค์ทรงเป็นเจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์ผู้มีผลงานดีเด่นของโลกในสาขาสารเคมีก่อมะเร็ง และพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ทรงเป็นศาสตราจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ได้ทรงพระอุตสาหะพระราชทานการเรียนการสอนแก่นักศึกษาแพทย์และแพทย์ประจำบ้าน ทรงเป็น “ทูลกระหม่อมอาจารย์” ทางปรีคลินิก ที่ทรงพระปรีชาสามารถทั้งทางด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์เชิงประยุกต์ ทรงใส่พระทัยในการเรียนการสอน จึงเป็นที่เคารพรักของนักศึกษาแพทย์ในทุกยุคทุกสมัย โดยทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอนุชีววิทยาของโรคมะเร็ง และพิษวิทยา ทรงสอนนักศึกษาแพทย์ในรายวิชาต่าง ๆ ทรงสอนวิชาชีวเคมีและพิษวิทยาแก่นักศึกษาใน มหาวิทยาลัยมหิดล โรงเรียนนายเรืออากาศ โรงเรียนนายเรือ ทั้งยังทรงเป็นพระอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหพันธรัฐเยอรมนี เป็นต้น
ด้วยพระอัจฉริยภาพ พระปรีชาสามารถ และพระกรณียกิจที่กอปรด้วยพระกรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงพระราชทานแก่วงการวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย และของโลกในด้านชีวเคมีดังกล่าว รวมทั้งการสนับสนุนการวิจัยทางด้านชีวเคมีที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งวิทยาและพิษวิทยา
ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงขอมติจากสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาชีวเคมี แด่ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เพื่อเฉลิมพระเกียรติคุณให้แผ่ไพศาลและเพื่อเป็นสิริมงคลแก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์สืบไป
พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯ เตรียมจัดงานนิทรรศการหมุนเวียน“พันธุกรรมสร้างชีวิต” เพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีด้านการอนุรักษ์พันธุกรรม พร้อมเปิดโซนใหม่เป็นแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ “ตลาดเศรษฐกิจพอเพียง” ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯจ.ปทุมธานีระหว่าง 1- 3 เม.ย 65 นี้
พลอากาศเอก เสนาะ พรรณพิกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล่าวว่า เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้านการอนุรักษ์พันธุกรรม เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพวันที่ 2 เมษายนนี้
ตลอดจนต้องการสร้างความตระหนักและปลูกจิตสำนึกแก่เยาวชน ประชาชนได้รู้จักรักและหวงแหนในพันธุกรรมท้องถิ่นดังพระราชกระแสรับสั่งสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “การรักทรัพยากร คือการรักชาติ รักแผ่นดิน” เกิดแรงบันดาลใจในการรักษาไว้เพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติของไทยมีความอุดมสมบูรณ์อย่างมั่นคง และยั่งยืน พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯเตรียมจัดงานนิทรรศการหมุนเวียน“พันธุกรรมสร้างชีวิต” พร้อมด้วยเปิดให้เข้าเรียนหลักสูตรการอบรมวิชาของแผ่นดินและอบรมเชิงปฏิบัติการฟรี
อิ่ม อร่อย ชม ช้อป สินค้าเกษตรอินทรีย์จากร้านค้าเครือข่ายและภาคีความร่วมมือจากทั่วประเทศ ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัดระหว่างวันที่ 1-3 เมษายน 2565 นี้ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯจ.ปทุมธานีในรูปแบบ Onsite ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดปทุมธานี และทาง Online ผ่านทาง Facebook พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ
นอกจากนี้ ในการจัดงานในครั้งนี้ยังเตรียมเปิดพื้นที่แหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ “ตลาดเศรษฐกิจพอเพียง” พื้นที่แห่งการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจ “สืบสาน รักษา ต่อยอด” พระราชปณิธาน ด้านการเกษตร และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางเหมาะสำหรับการจัดงานเพื่อรองรับพี่น้องประชาชนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019อีกด้วย
พลอากาศเอก เสนาะ ได้กล่าวถึงกิจกรรมสำคัญภายในงานด้วยว่า ประกอบด้วย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเผยแพร่พระราชปณิธานและพระราชกรณียกิจด้านการอนุรักษ์พันธุกรรม นิทรรศการพันธุกรรมสัตว์ท้องถิ่น และนิทรรศการเครือข่ายพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ จัดแสดง 7 ฐานการเรียนรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมพืช พันธุกรรมสัตว์ อาทิ พันธุกรรมมั่งคั่ง อาหารยั่งยืน แมลงเศรษฐกิจกู้วิกฤตโปรตีนโลก สัตว์เลี้ยงทำเงิน พืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพและความงาม เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาเรียนฟร เก็บเกี่ยวองค์ความรู้ที่ตกผลึกจากประสบการณ์ของวิทยากรผู้มากความสามารถ ผ่านการอบรมวิชาของแผ่นดินและอบรมเชิงปฏิบัติการกว่า 10 หลักสูตร เช่น หลักสูตรกัญชา พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ โดยอาจารย์ นพ.สมยศ กิตติมั่นคง แพทย์ประจำโรงพยาบาลบางโพ กรุงเทพฯ หลักสูตร การผลิตมูลไส้เดือนด้วยวัสดุในบ้าน โดย ผศ.ดร.วิยดา กุนทีกาญจน์ และผศ.ดร.ทรรศวรรณ ทิพยวรการกูร อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หลักสูตรการเลี้ยงไก่ไข่และไก่เนื้ออินทรีย์
โดยอาจารย์อำนาจ เรียนสร้อย แทนคุณ ออร์แกนิคฟาร์ม จ.นครปฐม และหลักสูตรพรรณไม้แปลกที่ควรปลูก โดยอาจารย์วีระยุทธ ศรีเลอจันทร์ (ทอง ธรรมดา) ศูนย์เรียนรู้เพชรพิมาย จ.นครราชสีมา เป็นต้น โดยจำกัดผู้เข้าร่วมอบรม 30 คนต่อวิชา ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และรับชมบรรยากาศการถ่ายทอดสดได้ทาง Facebook พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ
พร้อมชม ช้อปตลาดเศรษฐกิจพอเพียงพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สินค้า ผลผลิตเกษตรปลอดภัยที่คัดสรรมาให้เลือกซื้อ รวมถึงอาหารพื้นบ้านคาวหวานทั้ง 4 ภาค ที่มากด้วยคุณภาพจากผู้ผลิต ราคาเป็นกันเองกว่า 200 ร้านค้าพิเศษ ภายในงานมีการแจกพันธุกรรม “เบญจรงค์ 5 สี” ให้ประชาชนผู้มาร่วมงานกว่า 1,000 ต้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการร่วมอนุรักษ์พันธุกรรมพืชต่อไป
พร้อมกล่าวย้ำ การจัดงานในครั้งนี้ยังคงคุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัดผู้เข้าเยี่ยมชมงานจะต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็ม หรือมีผลตรวจ ATK โดยแสดงหลักฐานประกอบภายใน 72 ชั่วโมง พร้อมตรวจวัดอุณหภูมิทุกครั้งก่อนเข้าร่วมงาน และลงทะเบียนก่อนเข้าสถานที่ด้วย Application ไทยชนะหรือสมุดสำหรับลงทะเบียน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-529-2212-13, 087-359-7171 คลิกดูรายละเอียดได้ที่ www.wisdomking.or.th หรือ facebook / Instagram /Line ID : @wisdomkingmuseum และ Youtube พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ
วันที่ 28 มีนาคม 2565 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดตัวร้านค้า THE PREMIUM @ KU เฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปี มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นร้านค้าจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรต้นแบบครั้งแรกของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อทดสอบระบบการจัดทำตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพสูง ของมหาวิทยาลัย โดยเชื่อมโยงทุกหน่วยงาน ภายใต้สังกัดของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่มีผลงานวิจัย และนวัตกรรมทางด้านสินค้าเกษตร แบบครบวงจร 360 องศา มุ่งเน้นผลลัพธ์เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย
เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภาคการเกษตร สิ่งแวดล้อม และสังคมไทย ภายใต้นโยบายเชิงรุก KUniverse ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมผ่านสินค้าเกษตรคุณภาพสูงและบริการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยตาม BCG Model ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการเกษตรและอาหารคุณภาพของภูมิภาคเอเชียและของโลก โดยมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่ เช่น เทคโนโลยี XR หรือ Extended Reality ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่รวมเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน
(Virtual Reality – VR) ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality – AR) และ มิกซ์เรียลริตี้ (Mixed Reality – MR) เข้าด้วยกัน มาช่วยในการบริหารจัดการร้านค้า เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการให้กับลูกค้าได้อย่างเหนือจินตนาการ นอกจากนี้ เทคโนโลยีเสมือนจริงบนโลกออนไลน์ ยังสามารถเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ ผลผลิตของชุนชน เกษตรกร Smart farmer, AgriPrenuer และ SME ได้ง่าย มีต้นทุนต่ำ สร้างการกระจายรายได้สู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างชุมชนเข้มแข็งสู่พัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย
ดร.กฤษพงศ์ กีรติกร นายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ร้านค้า THE PREMIUM @ KU เป็นรูปแบบร้านค้าที่ส่งมอบคุณค่าเพิ่มของผลผลิตทางการเกษตร และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร จากผลงานค้นคว้าวิจัย นวัตกรรม องค์ความรู้ของหน่วยงานภายใต้สังกัดของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเครือข่ายทั้งภาครัฐ และเอกชน ซึ่งทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่า ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายทั้งหมดในร้าน THE PREMIUM @ KU เป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ที่มีมูลค่าเพิ่ม และคุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค
สร้างความยั่งยืนให้กับสังคม และเศรษฐกิจ ในอนาคต ผมเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านี้ จะกลายเป็นบรรทัดฐานของร้านค้าแห่งคุณภาพ และการสร้างสรรค์มูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานของสังคมไทย และระดับนานาชาติ นับว่าเป็นการเปิดมุมมองความคิดร้านค้าจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรต้นแบบ ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์เพื่อสุขภาพของคนไทย
เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภาคการเกษตร สิ่งแวดล้อม และสังคมไทย มากกว่าที่จะเน้นเพียงยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และในโอกาสแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปี ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงอาจกล่าวได้ว่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ก้าวเดิน ไปสู่องค์กรแห่งการให้ เพื่อความสุข ความยั่งยืนของสังคมไทยอย่างแท้จริง จากปรัชญาแนวคิด KUniverse ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ด้าน ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมีนโยบายเชิงรุกที่เรียกว่า KUniverse เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยและหน่วยงานทุกหน่วยงานให้สนับสนุนการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยตาม BCG Model โดยอุตสาหกรรมการเกษตร จัดเป็นส่วนสำคัญที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจประเทศไทย ทั้งนี้ BCG Model ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถูกขับเคลื่อนในจักรวาล KUniverse ซึ่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำลังทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกเศรษฐกิจ
เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Enhancing Our Quality of Life and the Environment) ด้วยบทบาทสำคัญ 7 ประการ ได้แก่ 1). สร้างองค์ความรู้ให้นิสิต เกษตรกร และผู้ประกอบการ 2). มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาที่นำนวัตกรรม และเทคโนโลยีมาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการของ SMEs และเกษตรกรรม 3). บริการรับรองคุณภาพ และมาตรฐานสินค้า เพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือ ของสินค้าและบริการ 4). ติดอาวุธให้เกษตรกร และผู้ประกอบการผ่านงานบริการวิชาการ และปรึกษา 5). สร้าง KU Market Place ที่ใช้หลักการเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) 6). สร้าง KU Business Ecosystem พร้อมทั้งผนึกกำลังการส่งเสริมผ่าน ทุกวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ 7). จัดตั้ง Spin-Off Company ภายใต้ KU Holding Company เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สนับสนุนภาคเอกชนได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับร้านค้า THE PREMIUM @ KU ถือเป็นก้าวแรกของการจัดทำรูปแบบร้านค้าจำลองเพื่อทดสอบระบบการจัดทำตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพสูง ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยเชื่อมโยงทุกหน่วยงาน ภายใต้สังกัดของมหาวิทยาลัย ที่มีผลงานวิจัย และนวัตกรรมทางด้านสินค้าเกษตร ในระยะถัดไปจะมีการเชื่อมโยงกับสินค้าของเกษตรกรที่ได้รับรองมาตรฐาน KU Standard เข้ามาเพิ่มในระบบอีกด้วย และการดำเนินงานครั้งนี้จะนำไปสู่บทเรียนแห่งการเรียนรู้ที่สำคัญในการทำธุรกิจตลาดสินค้าเกษตรขนาดย่อม ซึ่งอาจเติบโตไปถึงขนาดใหญ่ในอนาคต ที่สามารถยกระดับสู่การวางแผนการดำเนินงานของการศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มศักยภาพการพัฒนาพื้นที่ด้านถนนวิภาวดีรังสิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป
ในอนาคตสินค้าของมหาวิทยาลัยจะถูกบริหารจัดการผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการคุณภาพสูงด้านเกษตรและอาหารแบบครบวงจร 360 องศา มีระบบการรับรองมาตรฐานคุณภาพขั้นสูง KU quarantine ด้วยการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์และการผลิต จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในมหาวิทยาลัย สอดคล้องรองรับกับการจัดงานต่าง ๆ เพื่อยกระดับสินค้า และผลิตภัณฑ์อาหารไทยเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพตรงจากแหล่งกำเนิดสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ภาคีเครือข่ายคณะทำงานนโยบายบูรณาการส่วนงานเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
อาทิ คณะเกษตร คณะเกษตรกำแพงแสน คณะอุตสาหกรรมเกษตร คณะวิทยาศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยบูรณาการศาสตร์ คณะทรัพยากรธรรมชาติและอุตสาหกรรมเกษตร สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ศูนย์เทคโนโลยีเกษตร และนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center: AIC) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่
ส่วนร้านอาหาร KU KIN DEE U-DEE “เคยู กินดีอยู่ดี” นั้น เปิดขึ้นมาเพื่อให้บริการแก่อาจารย์ บุคลากร นิสิต และบุคคลทั่วไป โดยใช้วัตถุดิบชั้นดีมีคุณภาพจากกลุ่มเครือข่ายความร่วมมือเกษตรกรและผู้ผลิตที่มีอยู่กับคณะ สถาบัน และสถานีวิจัยต่างๆของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดำเนินการโดยภาควิชาคหกรรมศาสตร์ คณะเกษตร เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติ ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านคหกรรมศาสตร์ อีกทั้งเป็นต้นแบบของการดำเนินการที่บูรณาการความรู้และเครือข่ายอย่างครบวงจร เพื่อเผยแพร่อาหารไทย อาหารนานาชาติ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ ในรูปแบบของ food street ร้านอาหาร และ food delivery ขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาหารคุณภาพของภูมิภาคเอเชียและของโลกและเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ร้านค้า THE PREMIUM @ KU ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ KU AVENUE ประตูงามวงศ์วาน 3 เปิดบริการทุกวัน เวลา 9.00 -17.00 น. และจำหน่ายทางช่องทางออนไลน์ ผ่าน http://www.kubookol.com / โดยนำสินค้าเกษตรคุณภาพสูงและโดดเด่นด้วยนวัตกรรมงานวิจัย จากทุกวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มารวมไว้ให้บริการ อาทิ เครื่องดื่มจากน้ำส้มสายชูผสมน้ำผลไม้หมักจากธรรมชาติ ช่วยในการย่อยอาหาร เครื่องดื่มน้ำกัญชาโซดาคร้าฟ เครื่องดื่มคร้าฟโซดากลิ่นโซจู รสเหล้าบ๊วยสูตรกัญชาพิเศษ ช่วยให้ผ่อนคลาย บำรุงร่างกาย ทำให้หลับลึก และชะลอการสะสมของไขมันและน้ำตาลในเลือด กรีกโยเกิร์ตเสริมพรีไบโอติก ช่วยรักษาสมดุลของระบบทางเดินอาหาร และปรับสมดุลระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้เป็นปกติ ลูกชิ้นหมูแท้ ไส้กรอกไก่รมควัน ไก่จ๊อ ปราศจากผงชูรส และสารกันเสีย เนื้อโคขุนอบกรอบ เนื้อโคพันธุ์กำแพงแสน ผักผลไม้อบกรอบด้วยนวัตกรรมเครื่องทอดสูญญากาศ ไข่ทองคำ ข้าวโพดสีม่วง น้ำนมข้าวโพดหวานไร่สุวรรณ นมเกษตร ไอศกรีม เป็นต้น
ผศ.ดร.คมสัน โสมณวัตร รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา วิทยาเขตนครปฐม เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มียุทธศาสตร์ในการเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้และบริการวิชาการชั้นนำ และการพัฒนางานวิจัยเพื่อต่อยอดสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนได้มีโอกาสเข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรมเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชน กลุ่ม Startup และ OTOP เพิ่มโอกาสทางการแข่งขัน สร้างอาชีพและรายได้ของคนในชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จึงได้ร่วมมือกับชุมชนบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี เปิดตัว “ศูนย์เรียนรู้กลุ่มปั้นหม้อเขียนสี บ้านเชียง” เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ถ่ายทอดเรื่องราวมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าภูมิปัญญาการปั้นหม้อเขียนสีเอกลักษณ์บ้านเชียง ให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่
ทั้งนี้ กลุ่มปั้นหม้อเขียนสี เป็นกลุ่มอาชีพหนึ่งของตำบลบ้านเชียง โดยเน้นผลิตเครื่องปั้นดินเผาอย่างครบวงจรที่สืบสานวิธีการหรือกระบวนการดั้งเดิม ตั้งแต่การปั้น เผา เขียนลายเขียนสี และต่อยอดพัฒนาเครื่องปั้นดินเผานั้นให้เป็นของที่ระลึกสำหรับจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งสถาบันวิจัยและพัฒนา ร่วมกับคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และคณะที่เกี่ยวข้องได้บูรณาการร่วมกันนำองค์ความรู้และงานวิจัยไปถ่ายทอดให้กับสมาชิกกลุ่ม เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาให้มีคุณภาพมาตรฐาน
มีกระบวนการผลิตที่ทันสมัยโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาเสริม การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวผลิตภัณฑ์ การหาช่องทางการจัดจำหน่าย ไปจนถึงการออกแบบสถาปัตยกรรมภายในร้านค้าปลีกของกลุ่ม เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการค้าให้มีมาตรฐานสากลและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ยกระดับไปสู่การเป็นผู้ประกอบการที่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน และ สำหรับผู้สนใจได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้ ข้อมูลด้านองค์ความรู้ต่างๆ สามารถติดตามผลงานของสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ได้ทาง www.ird.ssru.ac.th และ www.ssru.ac.th อีกด้วย ผศ.ดร.คมสัน กล่าว
ด้าน นายชาตรี ตะโจประรัง ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปั้นหม้อเขียนสี บ้านเชียง กล่าวว่า กลุ่มปั้นหม้อเขียนสีบ้านเชียงมีการทำเครื่องปั้นดินเผามานานแล้ว เป็นการผลิตแบบดั้งเดิมตามภูมิปัญญาชาวบ้านที่ถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น แต่พอทางมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาได้นำองค์ความรู้ต่างๆ มาสอนให้ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การปั้น การลงสี การเผา รวมทั้งมาสร้างเตาเผาใช้พลังงานลมทดแทน ใช้เทคโนโลยีควบคุมอุณหภูมิ ช่วยร่นระยะเวลาในการเผาจากเดิมที่ต้องใช้เวลาเป็นวันเหลือเพียง 5 ชั่วโมง และยังทำให้เครื่องปั้นดินเผามีความแกร่งแข็งแรง ลดอัตราการสูญเสียลงได้เกือบ 100% นอกจากนี้ ยังช่วยหาช่องทางการตลาด ทำให้คนรู้จักผลิตภัณฑ์ของกลุ่มมากขึ้น
สำหรับผู้ที่สนใจอยากมาศึกษาวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชุมชนชาวบ้านเชียง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแหล่งวัฒนธรรม หรือมาเรียนรู้วิธีการปั้นเครื่องปั้นดินเผา ติดต่อได้ที่ ศูนย์เรียนรู้กลุ่มปั้นหม้อเขียนสี ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี เปิดทุกวันไม่มีวันหยุด หรืออุดหนุนสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนได้ที่เพจเฟสบุ๊ค : ศูนย์เรียนรู้กลุ่มปั้นหม้อเขียนสี โทร. 089-4210068
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายอัชฌา สุวรรณนิตย์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี นายทรงศักดิ์ วลัยใจ นายอำเภอพร้าว นายสุริยะ คำปวง สหกรณ์จังหวัดเชียงใหม่ นายไพโรจน์ มหาวัน ประธานกรรมการสหกรณ์ฯ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ สมาชิกสหกรณ์ และเกษตรกร ให้การต้อนรับ ณ สหกรณ์การเกษตรโหล่งขอดสามัคคี จำกัด ตำบลโหล่งขอดสามัคคี อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบอุปกรณ์การตลาด สิ่งก่อสร้าง อาทิ รถแทรกเตอร์พร้อมอุปกรณ์ เครื่องอบลดความชื้นพร้อมโรงคลุม เครื่องชั่งรถบรรทุกพร้อมอุปกรณ์และห้องควบคุม รถตักล้อยาง รถยกพาเลท โกดัง และลานตากคอนกรีตเสริมเหล็ก ภายใต้โครงการปรับโครงสร้างการผลิต การรวบรวม การแปรรูป ของสถาบันเกษตรกร รองรับผลผลิตทางการเกษตร
ปีงบประมาณ 2564 ให้แก่สถาบันเกษตรกร 8 แห่ง ได้แก่ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรภาคเหนือ จำกัด สหกรณ์โคนมแม่ออน จำกัด สหกรณ์โคนมสันกำแพง (ป่าตึงห้วยหม้อ) จำกัด สหกรณ์การเกษตรแม่แจ่ม จำกัด สหกรณ์การเกษตรโหล่งขอดสามัคคี จำกัด สหกรณ์การเกษตรดอยสะเก็ด จำกัด สหกรณ์การเกษตรฝาง จำกัด และสหกรณ์การเกษตรสันป่าตอง จำกัด รวมมูลค่า 65,602,783 บาท ทั้งนี้ สหกรณ์การเกษตรโหล่งขอดสามัคคี จำกัด ได้ขับเคลื่อนงานนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด้านการพัฒนาสหกรณ์ให้เกิดความเข้มแข็ง
ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกรมส่งเสริมสหกรณ์เพื่อก่อสร้างลานตาก คอนกรีตเสริมเหล็ก พื้นที่ไม่น้อยกว่า 3,200 ตารางเมตร เพื่อใช้รวบรวมผลผลิตทางการเกษตร อาทิ ข้าว มันฝรั่ง ลำไย มะม่วงของสมาชิกสหกรณ์และเกษตรทั่วไป ซึ่งมีการใช้ประโยชน์จากสิ่งก่อสร้างหมุนเวียนตลอดทั้งปี ส่งผลให้สามารถลดต้นทุน เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร สมาชิกสหกรณ์ รวมทั้งมีการวางแผนการใช้ประโยชน์จากสิ่งก่อสร้างให้มีความคุ้มค่าสูงสุด ช่วยเหลือสมาชิกและเกษตรกรในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงต่อไป
“ขอชื่นชมสหกรณ์การเกษตรโหล่งขอดสามัคคี จำกัด และสหกรณ์ในจังหวัดเชียงใหม่ที่ให้ความสำคัญและให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามนโยบายต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงนโยบายที่สำคัญของกรมส่งเสริมสหกรณ์ด้วยดีเสมอมา สหกรณ์ในจังหวัดเชียงใหม่ได้ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญและงานเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลได้หลายเรื่อง เช่นโครงการปรับโครงสร้างการผลิต
การรวบรวม และการแปรรูปของสถาบันเกษตรกร รองรับผลผลิตทางการเกษตร เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้สหกรณ์แม่ข่าย สหกรณ์ลูกข่ายขั้นกลาง และขั้นต้น เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมจัดเก็บและแปรรูป จำหน่าย กระจายผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่ให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างสหกรณ์ด้วยกัน มีการให้บริการสมาชิกเพื่อลดต้นทุน และสร้างรายได้ให้กับสมาชิกสหกรณ์ รวมถึงลดการใช้สารเคมีอันตรายและส่งเสริมให้มีการผลิต การตลาด สินค้าเกษตรปลอดภัย “
“โครงการลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร เพื่อสนับสนุนให้ลูกหลานสมาชิกสหกรณ์ หรือบุคคลทั่วไปที่ไปประกอบอาชีพต่างจังหวัดกลับมาทำการเกษตรที่บ้านเกิด โดยมีสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่คอยเป็นพี่เลี้ยง ตลอดจนการจัดหาตลาดรองรับ นโยบายตลาดนำการผลิตเพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพเป็นไปตามความต้องการของตลาด หรือผู้บริโภคปลายทาง
โครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตร ส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงสินค้าเกษตร ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ รวมถึงเครือข่ายสหกรณ์ด้วยกันเอง ขอเชิญชวนสหกรณ์ทุกแห่งร่วมกันพัฒนาสหกรณ์ ให้มีความเข้มแข็ง ช่วยกันส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรให้เป็นสินค้าเกษตรปลอดภัย มีคุณภาพ ลดการใช้สารเคมี ช่วยกันขับเคลื่อนงาน เพื่อให้สมาชิกสหกรณ์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มและมีความมั่นคงในอาชีพ อีกทั้งให้มีการวางแผนการใช้ประโยชน์ จากโครงการที่รัฐบาลให้งบประมาณสนับสนุนให้เต็มศักยภาพ” รมช.มนัญญา กล่าว
จากนั้น ได้พบปะหัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และประชาชนในพื้นที่ที่มารอต้อนรับ และเยี่ยมชมนิทรรศการการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ฯ และบูธจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของกลุ่มอาชีพในสังกัดสหกรณ์กลุ่มเกษตรกร ได้แก่ และพบปะเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพทางการเกษตร ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 5 ราย นำโดย นายสถาพร คิดไชย อายุ 47 ปี นำผลผลิต ปลากดหลวงรมควัน ผักผลไม้อินทรีย์ ซึ่งผลผลิตได้รับรอง PGS (Participatory Guarantee Systems)
เป็นระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม รับรองคุณภาพที่มุ่งเน้นการรับประกันคุณภาพในท้องถิ่น ตนเองเริ่มทำเกษตรปี 2557 ทำไร่นาสวนผสม อาทิ มันเทศญี่ปุ่น ข้าวอินทรีย์ ข้าวเหนียวสันป่าตอง ข้าวจ้าวมะลิ 105 คะน้า ผักกาด ลำไย มะพร้าวน้ำหอม มะม่วง และประมงน้ำจืด เช่น เลี้ยงปลา เลี้ยงกระบือ ทำเกษตรแบบอินทรีย์มีตลาดและสามารถจำหน่ายผ่านบูท งานแสดงสินค้า ตลาดออนไลน์ เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรและประมง สร้างรายได้พอเพียงตลอดปี
ด้าน นางสาวพัฒนา ขจรศรี อายุ 45 ปี นำสินค้าและผลิตภัณฑ์แปรรูป ได้แก่ มะม่วง มัลเบอรี่ผลสด แยมผลไม้ ชาผลไม้ มาร่วมจัดจำหน่าย ตนเองมีพื้นที่ทำการเกษตรในอำเภอพร้าว ทำการปลูกพืชผสมผสานสลับหมุนเวียน ปลูกข้าวจ้าวไร่ พืชผักสวนครัว ลำไยอีดอ ลำไยสีชมพู มะม่วงแก้วขมิ้น มะม่วงงาช้างแดง และแปรรูปสินค้าการเกษตรจากผลผลิตในสวน
ปัจจุบันมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ของตนเอง คาสิโนออนไลน์ เพื่อเพิ่มมูลค่าของผลผลิตในสวนให้มีราคาตามที่ตลาดต้องการ และเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวด้วย นอกจากนี้ ยังมีผลผลิต หน่อไม้ฝรั่ง ลูกหมูดำ หมูแม่พันธ์ ของนางสาวทิพวรรณ นาวิเคาะ ผลผลิต ข้าวเหนียวหอม ผักอินทรีย์ มะม่วง ของนายสมบัติ มั่งคำ และผลผลิต กระเทียมดอง มะม่วงแช่อิ่ม ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐาน อย. ของนายวรชัย ทองคำฟู