กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับสมาคมชาวสวนมะม่วงไทย ยกทัพมะม่วงคุณภาพดีให้คนกรุงได้ลิ้มลองในงาน “Mango of SIAM ที่สุดแห่งมะม่วงไทย ถูกใจทั่วโลก” ระหว่างวันที่ 2 – 6 เม.ย. 2564 นี้ ณ เจริญนครฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม เขตคลองสาน กรุงเทพฯ พร้อมเชิญชวนผู้บริโภคอุดหนุนชาวสวนผลไม้ไทย
วันที่ 2 เมษายน 2564 นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานในพิธีเปิดงาน “Mango of SIAM ที่สุดแห่งมะม่วงไทย ถูกใจทั่วโลก” เปิดเผยว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้นโยบายเกี่ยวกับการประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนถึงความร่วมมือและความเป็นไปได้ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ
เพื่อวางแผนการเปิดพื้นที่ให้เกษตรกรนำสินค้าเกษตรเข้าไปจำหน่ายตามฤดูกาล ภายใต้ความร่วมมือการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2564 และช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้การส่งออกเกิดการชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดส่งออกมะม่วงที่สำคัญและใหญ่ที่สุด ได้แก่ สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น รวมถึงสาธารณรัฐประชาชนจีน สหรัฐอเมริกา แคนาดา และกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป โดยเชิญศูนย์การค้าไอคอนสยามเข้ามาร่วมกิจกรรมการจัดงานกับกรมส่งเสริมการเกษตรในงาน “Mango of SIAM ที่สุดแห่งมะม่วงไทย ถูกใจทั่วโลก” ระหว่างวันที่ 2 – 6 เม.ย. 2564 ณ เจริญนครฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม
ไอคอนสยาม นับเป็นศูนย์การค้าระดับ High end ที่ผู้ซื้อมีกำลังซื้อสูง และเลือกสรรของดีมีคุณภาพ เรียกได้ว่าสินค้าที่วางจำหน่ายที่นี่ได้นั้น คุณภาพเป็นตัวกำหนดราคา ราคาเป็นตัวกำหนดผู้ซื้อ ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรในฐานะเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ร่วมจัดงานกับศูนย์การค้าไอคอนสยาม ด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และผสมผสานกับความเป็นศูนย์การค้าใจกลางเมืองหลวงที่เข้ากับอัตลักษณ์ของมะม่วงไทยได้อย่างลงตัว
รวมทั้งตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมการรองรับการกระจายผลผลิตมะม่วงในอนาคต โดยเน้นการผลิตมะม่วงคุณภาพให้เข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดภายในประเทศให้มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการมะม่วงในอนาคตได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรที่ผลิตมะม่วงมีการปรับเปลี่ยนการผลิต
ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยในการผลิตมะม่วงให้มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนการผลิต สามารถเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ได้ ตลอดจนพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน มีการวางแผนที่ดีและลดความเสี่ยงการผลิตสินค้ามากเกินความต้องการ ถือเป็นการพัฒนาเกษตรกรรมของประเทศด้วยวิถีทางแห่งนวัตกรรมการเพิ่มมูลค่า และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามนโยบายเกษตร 4.0 ดังนั้น จึงต้องหันมาส่งเสริมด้านการตลาดในประเทศเพื่อช่วยชาวสวนเพิ่มให้มากขึ้น
ด้าน นางกุลฤดี พัฒนะอิ่ม รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้เพื่อช่วยชาวสวนผลไม้กระจายผลผลิต โดยเฉพาะระยะนี้เป็นเทศกาลของมะม่วงซึ่งมีผลผลิตจากหลายพื้นที่ทยอยออกสู่ตลาด กรมส่งเสริมการเกษตรจึงร่วมกับสมาคมชาวสวนมะม่วงไทยคัดสรรผลผลิตและผลิตภัณฑ์มะม่วงคุณภาพดีที่ได้รับการรับรองมาตรฐานมาร่วมออกบูธจำหน่าย ประกอบด้วย สินค้ามะม่วงจากสมาคมชาวสวนมะม่วงไทยของจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ ฉะเชิงเทรา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ราชบุรี นครราชสีมา สระแก้ว
สินค้าเกษตรจากตลาดเกษตรกร ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงของจังหวัดเชียงใหม่ ชลบุรี สมุทรปราการ ลำพูน นครนายก สินค้าเกษตรจากกลุ่มแปลงใหญ่ ได้แก่ แปลงใหญ่มะพร้าวน้ำหอมของจังหวัดสมุทรสาคร, แปลงใหญ่ส้มโอ ลิ้นจี่ จังหวัดสมุทรสงคราม, แปลงใหญ่ทุเรียน มังคุด จังหวัดจันทบุรี, แปลงใหญ่อโวคาโด จังหวัดตาก, แปลงใหญ่สับปะรด (พันธุ์ใหม่) จังหวัดระยอง, แปลงใหญ่ขนุน จังหวัดชลบุรี และสินค้าเบ็ดเตล็ดที่เกี่ยวกับมะม่วงและการบริการต่าง ๆ ได้แก่ อุปกรณ์ทางการเกษตร ปุ๋ย สารชีวภัณฑ์ ฮอร์โมน ที่เหมาะสมสำหรับชุมชนเมือง รวมทั้งการให้บริการขนส่ง เช่น ไปรษณีย์ไทย, Kerry เป็นต้น
ทั้งนี้ ในปี 2564 สมาคมชาวสวนมะม่วงไทยได้ประเมินสถานการณ์ผลผลิตมะม่วงพันธุ์การค้าเบื้องต้นจากสมาชิกกลุ่มเกษตรกรในแหล่งผลิตสำคัญของประเทศไทย 3 แหล่ง ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 20 จังหวัด คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณผลผลิต 400,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 15 ขณะนี้มีการเก็บเกี่ยวแล้วร้อยละ 20 โดยสถานการณ์ราคามะม่วงที่เกษตรกรขายได้หน้าสวนสำหรับตลาดในประเทศ พบว่า ราคามะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง 17 บาท/กิโลกรัม มะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์สี่ 12 บาท/กิโลกรัม ฟ้าลั่น 7 บาท/กิโลกรัม เขียวเสวย 20 บาท/กิโลกรัม เป็นต้น สำหรับราคามะม่วงตลาดส่งออก พบว่า ราคามะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเกรด A 30 บาท/กิโลกรัม และมะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์สี่ 25 บาท/กิโลกรัม (ต้นทุนการผลิตมะม่วงเฉลี่ยทุกสายพันธุ์ประมาณ 7 บาท/กิโลกรัม) จึงทำให้สถานการณ์ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์พอใช้
กิจกรรมภายในงานครั้งนี้นอกจากจะมีการออกร้านจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรแล้ว ยังได้จัดแสดงนิทรรศการประกอบเพื่อให้ความรู้แก่ผู้เข้าชมงาน เช่น นิทรรศการประวัติความเป็นมาและอัตลักษณ์แห่งมะม่วงไทย เทคโนโลยีการผลิตมะม่วงคุณภาพดี ตั้งแต่การปลูก การดูแลรักษามะม่วง ศัตรูสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง การพัฒนาคุณภาพมะม่วงส่งออก/ดัชนีการเก็บเกี่ยวมะม่วง การแสดงความหลากหลายทางสายพันธุ์มะม่วง และมะม่วงที่ได้รับการรับรองเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) สำหรับมะม่วงที่นำมาจัดแสดงครั้งนี้จำแนกออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 มะม่วงไทยพันธุ์การค้า ได้แก่ น้ำดอกไม้เบอร์สี่ น้ำดอกไม้สีทอง เขียวเสวย ฟ้าลั่น โชคอนันต์ มหาชนก อกร่อง (อกร่องทอง อกร่องเขียว อกร่องพิกุลทอง) แรด ขายตึก เพชรบ้านลาด มันเดือนเก้า มันขุนศรี มะม่วงเบา น้ำดอกไม้มัน แก้ว หนังกลางวัน กลุ่มที่ 2 มะม่วงไทยพันธุ์หายาก/โบราณ ได้แก่ ยายกล่ำ สายฝน
เจ้าคุณทิพย์ พิมเสนมัน พิมเสนเปรี้ยว งาช้างแดง นาทับ สาวน้อยกระทืบหอ ลิ้นงูเห่า แก้วลืมรัง กลุ่มที่ 3 มะม่วงพันธุ์ต่างประเทศ/ลูกผสม ได้แก่ อ้ายเหวิน อี้เหวิน จินหวง อาร์ทูอีทู แดงจักรพรรดิ แก้วขมิ้น กลุ่มที่ 4 มะม่วงที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ได้แก่ ยายกล่ำนนทบุรี น้ำดอกไม้สระแก้ว น้ำดอกไม้ฉะเชิงเทรา และการซื้อขายสินค้าเกษตรผ่านช่องทางการตลาดออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมบนเวที เช่น การแข่งขันแกะสลักผลไม้ ตำผลไม้ลีลา เชฟชื่อดังมาร่วมโชว์ปรุงเมนูมะม่วงรสเลิศ การถาม-ตอบความรู้ สาธิตต่าง ๆ
กิจกรรมนาทีทอง ลุ้นโชควงล้อมะม่วงมหาสนุก เป็นต้น โดยมุ่งหวังว่าการจัดงานครั้งนี้จะเป็นการสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค ตลอดจนมีศูนย์การค้าต้นแบบที่สามารถการันตีมะม่วงคุณภาพสู่ผู้บริโภคในประเทศได้ดีต่อไป จึงขอเชิญชวนผู้บริโภคทั้งในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียงร่วมอุดหนุนสินค้าเกษตรไทยช่วยสนับสนุนชาวสวนผลไม้ภายใต้ Campaign “ซื้อสินค้าเกษตรไทย เกษตรกรอยู่ได้ ประเทศไทยอยู่รอด” และเลือกซื้อเป็นของขวัญของฝากให้กับญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้
เกษตรย้ำเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ดำเนินการตามกฏหมายอย่างเข้มงวด เร่งสกัดปมปัญหาทุเรียนอ่อนอย่างต่อเนื่อง สร้างความเชื่อมั่นคุณภาพทุเรียนภาคตะวันออก พร้อมวางระบบรับรองมาตรฐานสุขอนามัยตั้งแต่สวนทุเรียนจนถึงโรงคัดบรรจุ
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ตามที่กรมส่งเสริมการเกษตรได้สั่งการให้สำนักงานเกษตรจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดจัดตั้งชุดเฉพาะกิจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปูพรมพื้นที่ปลูกทุเรียน เพื่อตรวจสอบและสกัดกั้นไม่ให้มีการลักลอบตัดทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน) ออกขาย และให้ดำเนินการกับผู้กระทำผิดตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง จัดตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน) ในการติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังการตัดทุเรียนอ่อนออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด กรมส่งเสริมการเกษตรได้รับรายงานจากสำนักงานเกษตรจังหวัดจันทบุรีว่า ในส่วนของสำนักงานเกษตรจังหวัดจันทบุรีได้ดำเนินการขับเคลื่อนการป้องกันแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน) ตามนโยบายของกรมส่งเสริมการเกษตรในการป้องปรามทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน) ปี 2564 อย่างต่อเนื่อง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 1. ) ร่วมกับสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 ดำเนินการบังคับและพักการใช้ใบอนุญาตเลขทะเบียน GMP ของล้ง และเลขทะเบียน GAP ของเกษตรกรในกรณีตรวจพบการตัดและการจำหน่ายทุเรียนอ่อน 2) แจ้งให้เกษตรกร ผู้ประกอบการทราบถึงมาตรการต่างๆ เช่น การกำหนดเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียนหมอนทองก่อนตัด
ต้องไม่น้อยกว่า 32% ขึ้นไป และมาตรการดำเนินคดีแก่ผู้จำหน่ายทุเรียนด้อยคุณภาพ 3) ตั้งชุดตรวจเฉพาะกิจเคลื่อนที่เร็ว ชุดตรวจที่ล้งและที่สวนเกษตรกร เฉพาะกรณีที่มีการเก็บเกี่ยวทุเรียนก่อนวันประกาศวันเก็บเกี่ยว (10 เมษายน 2564) และออกใบรับรองผลการตรวจความแก่ของทุเรียน และถ้าพบทุเรียนอ่อนให้คัดออกและทำสัญลักษณ์พ่นสีแดงที่ผล และพิจารณาใช้บทลงโทษขั้นสูงสุด 4) แต่งตั้งชุดเฉพาะกิจในการสุ่มตรวจและแก้ไขปัญหาการตัดทุเรียนอ่อนหรือทุเรียนด้อยคุณภาพ ในระดับตำบล หมู่บ้าน 5) จัดทำ QR Code ติดที่ทุเรียน เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับไปถึงเกษตรกรผู้ปลุกได้ 6) สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จัดประชุมผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุ (ล้ง) เพื่อชี้แจงแนวทางการดำเนินงาน และมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาทุเรียนอ่อนหรือทุเรียนด้อยคุณภาพ รวมทั้งการฝึกอบรมหลักสูตรนักคัด นักตัด ทุเรียนมืออาชีพ และ 7) ตั้งจุดให้บริการตรวจความอ่อน-แก่ ของทุเรียน ณ ที่สำนักงานเกษตรอำเภอทุกอำเภอ
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวอีกว่า ผลการปฏิบัติงานของชุดปฏิบัติการจังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นแหล่งผลิตใหญ่และมีล้งส่งออกจำนวนมากที่สุด เบื้องต้น พบว่ามี 8 บริษัทที่มีความผิดต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งฝ่ายปกครองของจังหวัด ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ดำเนินการทางกฎหมายไว้แล้ว ในขณะที่ผลการตรวจพบทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน) ประมาณ 30% ส่วนใหญ่พบที่ล้งส่งออก จึงนับว่ามาตรการที่ดำเนินการมาในขณะนี้สามารถควบคุมปัญหาได้เป็นที่น่าพอใจ และถึงแม้ขณะนี้เกษตรกรจะสามารถตัดทุเรียนขายได้ตามระบบปกติแล้ว แต่การป้องปรามก็จะยังคงดำเนินการต่อเนื่องต่อไป ตามที่ได้รับแจ้งเบาะแส เพื่อควบคุมป้องปรามทุเรียนด้อยคุณภาพออกนอกพื้นที่ รวมทั้งในช่วงนี้ต้นทุเรียนโดนลมพายุพัด ทำให้มีผลร่วงหล่น ชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจฯ จึงได้เข้าตรวจตามแผงค้าส่งภายในประเทศเพื่อป้องกันทุเรียนอ่อนเข้าสู่ตลาดบริโภคภายในประเทศอีกด้วย
ด้าน สำนักงานเกษตรจังหวัดตราด ได้รายงานผลการปฏิบัติงานเชิงรุกว่า เนื่องจากจังหวัดตราดเป็นพื้นที่ที่จะมีผลผลิตทุเรียนออกสู่ตลาดก่อนจังหวัดอื่นในภาคตะวันออก จึงได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายปกครอง เกษตร ทหาร ตำรวจ กำนัน ผู้ใหญ่ อาสาสมัครเกษตรประจำหมู่บ้าน (อกม.) และอื่นๆ กว่า 20 หน่วยงาน เป็นหน่วยเฉพาะกิจระดับอำเภอ ทั้ง 7 อำเภอ ปฏิบัติการลงตรวจคุณภาพผลผลิตถึงสวนของเกษตรกร เพื่อสกัดกั้นทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน) อย่างเข้มข้น ทุกวิถีทาง สำหรับผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
หน่วยเฉพาะกิจของจังหวัดตราดได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างทุเรียนของเกษตรกร ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – 11 เมษายน 2564 สุ่มตรวจเปอร์เซ็นต์แป้งของผลผลิตทุเรียนก่อนการตัด 4 สายพันธุ์ จำนวนทั้งสิ้น 710 ตัวอย่าง โดยยึดเกณฑ์ดังนี้ พันธุ์หมอนทอง เปอร์เซ็นต์แป้งต้องได้ 32% ของน้ำหนักแห้งขึ้นไป พันธุ์ชะนี เปอร์เซ็นต์แป้งต้องได้ 30 % ของน้ำหนักแห้งขึ้นไป พันธุ์กระดุม เปอร์เซ็นต์แป้งต้องได้ 27 % ของน้ำหนักแห้งขึ้นไป และพันธุ์พวงมณี เปอร์เซ็นต์แป้งต้องได้ 30% ของน้ำหนักแห้งขึ้นไป โดยใช้ตู้อบไมโครเวฟ
ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตร ทำให้ปี 2564 นี้ สำนักงานเกษตรจังหวัดตราดมั่นใจว่าไม่มีทุเรียนด้อยคุณภาพจากพื้นที่จังหวัดตราดออกสู่ตลาดอย่างแน่นอน ทั้งนี้ เคล็ดลับความสำเร็จนอกจากทีมงานเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนจะร่วมกันทำงานอย่างเต็มกำลังแล้ว ในส่วนของผู้ที่เกี่ยวข้องกับผลผลิตทุเรียน อย่างเจ้าของสวนทุเรียนต้องมีความจริงใจในการตัดทุเรียนที่มีคุณภาพ คนตัดทุเรียนต้องตัดเฉพาะผลผลิตที่มีคุณภาพ และผู้ประกอบการซื้อ-ขายทุเรียน (ล้ง) ต้องรับซื้อเฉพาะทุเรียนคุณภาพด้วย จึงจะทำให้การแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน) ประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน
สำหรับบทลงโทษการซื้อขายทุเรียนที่เก็บเกี่ยวก่อนระยะเหมาะสม กรณีเกษตรกรจะพิจารณาพักหรือเพิกถอนการใช้ใบรับรองแหล่งผลิต GAP พืช เช่นเดียวกับโรงคัดบรรจุ (ล้ง) จะพักหรือเพิกถอนการใช้ใบรับรองโรงคัดบรรจุ GMP ซึ่งเกษตรกรจำนวนมากก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ส่งผลทำให้ราคาทุเรียนในพื้นที่ไม่อยู่ในระดับต่ำเหมือนปีที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดและผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในคุณภาพผลผลิต รวมทั้งยังส่งผลถึงภาพลักษณ์คุณภาพทุเรียนไทยก่อนส่งออกต่างประเทศอีกด้วย
ทั้งนี้ในปี 2564 เป็นปีแรกที่ประกาศให้มี “วันทุเรียนแก่” (วันที่ 10 เมษายน 2564) ซึ่งเป็นวันดีเดย์ให้เกษตรกรเริ่มเก็บเกี่ยวทุเรียนพันธุ์หมอนทองภาคตะวันออกโดยไม่แยกรายจังหวัด เน้นหนักในการตรวจสอบคุณภาพ เมื่อเกษตรกรจะเก็บเกี่ยวทุเรียนให้แจ้งความประสงค์ที่กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน หรืออาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.) เพื่อแจ้งสำนักงานเกษตรอำเภอในพื้นที่ให้ลงไปตรวจสอบความสุกแก่ของทุเรียนตามมาตรฐานที่กำหนด เมื่อผ่านการตรวจสอบแล้ว สำนักงานเกษตรอำเภอจะออกใบรับรองเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งของเนื้อทุเรียนเฉพาะตัวอย่างแนบไปกับรถขนส่งทุเรียนเข้าโรงคัดบรรจุพร้อมสำเนาใบรับรองแหล่งผลิต GAP พืช เพื่อคุมเข้มสกัดกั้นไม่ให้ทุเรียนอ่อนออกนอกพื้นที่ ส่วนกรณีของโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ให้แจ้งความประสงค์ที่ด่านตรวจพืชตามพื้นที่ความรับผิดชอบของด่านแต่ละด่าน เพื่อตรวจคุณภาพทุเรียนตามมาตรฐาน ซึ่งโรงคัดบรรจุที่รับซื้อทุเรียนจะต้องตรวจสอบใบรับรองเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งของเนื้อทุเรียนและสำเนาใบรับรองแหล่งผลิต GAP พืชจากสวนเกษตรกรด้วย เพื่อใช้ในการยื่นต่อด่านตรวจพืชก่อนส่งออก
นายพลเชษฐ์ ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนพัฒนาฐานข้อมูลเกษตรกรกลาง (Farmer ONE) เปิดเผยว่า จากที่ สศก. ได้พัฒนาระบบฐานข้อมูลเกษตรกรกลาง หรือ Farmer ONE มาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงทะเบียนเกษตรกรกับหน่วยงานรับขึ้นทะเบียน คือ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ และกรมประมง โดยในปี 2562 ได้มีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกร กับหน่วยงานเพิ่มเติม คือ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมหม่อนไหม และสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม รวมทั้ง ยังได้รับการสนับสนุนทางด้านองค์ความรู้และเทคโนโลยีสารสนเทศในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) อีกด้วย
ปัจจุบัน การให้บริการข้อมูล Farmer ONE มีการแบ่งกลุ่มเกษตรกรออกเป็น 7 กลุ่ม ได้แก่ 1) ปลูกพืช 2) เลี้ยงสัตว์ 3) เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 4) ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ 5) ปลูกพืชและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 6) เลี้ยงสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และ7) ปลูกพืช, เลี้ยงสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งสามารถสืบค้นแบบจำแนกชนิดสินค้า เพื่อรับทราบจำนวนครัวเรือน เนื้อที่เพาะปลูก เนื้อที่เก็บเกี่ยว แบบรายภาค รายจังหวัด ได้ 14 ชนิด คือ ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อยโรงงาน มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว ลำไย สับปะรดโรงงาน กาแฟ ยางพารา เงาะ มังคุด และ ทุเรียน รวมทั้งข่าวสารสำคัญทั่วไป เช่น ข้อมูลพยากรณ์อากาศ และสถานการณ์น้ำ
ล่าสุดผลจากการประชุมของคณะกรรมการขับเคลื่อนพัฒนาฐานข้อมูลเกษตรกรกลาง (Farmer ONE) เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้เห็นชอบในการเดินหน้าพัฒนาการให้บริการ ซึ่งภายในปี 2564 จะเชื่อมโยงฐานข้อมูลเพิ่มเติม จากเกษตรกรผู้ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และทอผ้าไหม จากกรมหม่อนไหม และเกษตรกร ชาวสวนยาง จากการยางแห่งประเทศไทยแบบ Real Time เพื่อให้ฐานข้อมูล Farmer ONE มีข้อมูลทะเบียนเกษตรกรทางด้านต่าง ๆ ให้ครอบคลุมกิจกรรมทางการเกษตรให้มากที่สุด รวมทั้งพัฒนาสู่มาตรฐานข้อมูลกลาง (Data Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานในการจัดเก็บข้อมูลและรวบรวมข้อมูลของแต่ละรายบุคคลให้อยู่ในรูปแบบมาตรฐานเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบูรณาการฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และลดความซ้ำซ้อนการจัดเก็บข้อมูล ชุดเดียวกันแต่มีข้อมูลที่ต่างกัน ยึดหลักการกำหนดมาตรฐานตามกรอบแนวทางเชื่อมโยงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ หรือ TH e-GIF และแนวทางการจัดทำมาตรฐานข้อมูลภาครัฐของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยเกษตรกรสามารถที่จะเข้ามาตรวจสอบข้อมูลของตนเองได้ และในปี 2565 จะดำเนินการกำหนดมาตรฐานกลางของสินค้าเกษตรที่สำคัญต่อไป
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบกรอบการกำหนดมาตรฐานข้อมูลกลาง (Data Standard) ข้อมูลบุคคลของฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกรแล้ว สศก. จะได้นำเสนอต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก่อนประกาศใช้ ต่อไปภายในปีนี้ ทั้งนี้ หากท่านใดที่สนใจข้อมูลการให้บริการของ Farmer ONE สามารถเข้าสืบค้นข้อมูลได้ที่ www.farmerone.org หรือ สามารถสอบถามข้อมูลการใช้งานได้ที่ส่วนปฏิบัติการข้อมูลการเกษตร ศูนย์สารสนเทศการเกษตร โทร. 0 2561 2870 ในวันและเวลาราชการ
เว็บไซต์ของศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง ได้แจ้งข่าวเรื่องที่มีผู้สนใจจองสะตอพันธุ์ ตรัง 1 ว่า “เนื่องจากขณะนี้มีผู้สนใจจองเป็นจำนวนมากและปริมาณที่พร้อมจำหน่ายมีจำนวนไม่พอต่อความต้องการอาจทำให้คิวของท่านได้รับความล่าช้า ทางศูนย์ฯ ขอแจ้งหากท่านจะประสงค์จะจองสะตอ ทางเราจะเปิดให้จองอีกครั้ง เดือน กรกฎาคม 2564” แปลได้ความว่า ยอดจองล้นหลาม จึงต้องปิดการจองชั่วคราว ซึ่งตามปกติเปิดให้จองได้ตลอดและเพิ่งลงข่าวให้เบอร์โทร.จอง https://bit.ly/3aqqyWi อย่างไรก็ดีจะเปิดให้จองอีกครั้งเดือนกรกฎาคม 2564
พร้อมกับบอกถึง รายละเอียดการจองสะตอพันธุ์ตรัง 1 ดังนี้
1.รายชื่อ/บ้านเลขที่ จองได้ไม่เกิน 15 ต้น
2.แจ้งชื่อ – นามสกุล , ที่อยู่ , เบอร์โทรติดต่อกลับ
3.ไม่มีบริการจัดส่งต้องมารับด้วยตนเอง
4.ไม่มีการชำระก่อน หรือมัดจำล่วงหน้า ชำระเงิน ณ วันที่รับสินค้าเท่านั้น
5.ราคาต้นละ 50 บาท เป็นแบบติดตา
6.หลังจากทำการจอง หากใกล้จะถึงคิวของท่าน ทางศูนย์ฯ จะโทรไปแจ้งให้มารับพันธุ์สะตอล่วงหน้า 1 – 2 สัปดาห์
ปล.รบกวนท่านจดจำคิวการจองของท่านเพื่อรักษาสิทธิ์ในการจอง หากท่านมีการเปลี่ยนแปลงเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ ให้โทรมาแจ้งลำดับคิวกับเจ้าหน้าที่..ขณะนี้จ่ายถึงลำดับคิวที่ 103 อัพเดตวันที่ 10/02/2564
อนึ่ง จากการติดตามข้อมูลของ “เกษตรก้าวไกล” ทราบว่า สะตอตรัง 1 มีคนสนใจและติดต่อมาเยอะมาก ยอดจองจนขณะนี้ประมาณ 70,000 ต้น แต่ด้วยกำลังการผลิตของศูนย์วิจัยพืชสวนตรังมีไม่เพียงพอ ตอนนี้ได้ประสานงานกับสหกรณ์จังหวัดตรัง ร่วมมือกับเกษตรกรที่มีความชำนาญการติดตาเพื่อจัดกลุ่มสร้างเครือข่ายผู้ผลิตต้นกล้าสะตอตรัง 1 เพื่อช่วยผลิตรองรับความต้องการของเกษตรกร ขณะนี้อยู่ในช่วงเสนอโครงการกับกรมวิชาการเกษตร และคาดว่าจะมีคืบหน้าในเร็วๆนี้
สำหรับการผลิตของศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง ที่ผ่านมาสามารถผลิตสะตอตรัง 1 ได้ปีละ 5,000 ต้น แต่ถ้าสร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ผลิต ประชุม อบรม สร้างแปลงแม่พันธุ์และขยายพันธุ์ควบคู่กันไปคาดว่าจะเคลียร์ยอดจองภายใน 3 ปี (64-66) แต่ก็ต้องรอการพิจารณาของกรมอีกครั้งว่าจะให้ดำเนินงานไปแนวไหน
อนึ่ง สะตอตรัง 1 ขยายพันธุ์แบบติดตา จึงค่อนข้างยาก เปอร์เซ็นต์การรอดน้อยกว่าพืชอื่นๆ ด้วยต้นเป็นฟองน้ำ จะเหี่ยวแห้งง่าย นั่นเอง
วงการไก่ชน น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก ตี๋..พานทอง เจ้าของฟาร์มไก่ชนระดับเงินล้าน มีไก่ชนไปเข้าสังเวียนนับร้อยชีวิต
แต่วันนี้ ตี๋ พานทอง หรือนายณัฐพงศ์ รอดพิรุณ วัย 59 ปี อยู่ที่ ต.พานทอง อ.พานทอง จ.ชลบุรี บอกว่า ผมทิ้งสังเวียนไปแล้ว เมื่อต้นปี 2563 หลังจากโควิด19 ระบาด ทิ้งไก่ชนหลายรัอยชีวิตไปจนหมดสิ้น
สาเหตุเพราะญาติๆ หลายคนมาขอร้องไว้อย่าไปทำเลยไก่ชน มันเป็นการซื้อขายชีวิตเขา สู้หันมาทำอะไรเพื่อธรรมชาติ เพื่อบ้านเมืองบ้างดีกว่า ตอนนั้นไก่ชนก็ออกไปตีบนสังเวียนไม่ได้ด้วย เลยเอาไก่ไปแจกจ่ายให้เพื่อนไป จนหมดเล้าไก่ ไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว
ก่อนจะมาขบคิดว่าเราจะทำอะไรดี นึกถึงวัตถุดิบในพื้นที่ก่อน เลยรู้ว่า เรามีดินดี มีแกลบเยอ มีขุยมะพร้าว มีต้นและใบก้ามปู อยู่เป็นจำนวนมาก เพราะเคยทำเฟอร์นิเจอร์จากไม้ก้ามปูมาก่อน ประกอบกับช่วงหลังมาปลูกต้นไม้เยอะต้องใช้ดินปลูกจำนวนมาก ไปหาซื้อมาราคาประมาณ 7 ถุง 100 บาท แต่ในถุงมีแค่ดินกับแกลบเผาเท่านั้นเอง
ตี๋พานทอง บอกว่า นี่เลยเป็นจุดเริ่มการทำปุ๋ยหมักอินทรีย์ จากความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาจากวิทยาลัยเกษตรบ้านบึง รุ่น 1 เอามาผสมผสานการทำปุ๋ยอินทรีย์ เริ่มจากการหมักปุ๋ยขี้วัวขี้ไก่ ไว้ 6-10 เดือน
จากนั้นนำปุ๋ยที่หมักไว้มาผสมในเครื่องผสมปุ๋ยอินทรีย์ มีวัตถุดิบ เช่น ดิน แกลบเผา ใบและต้นก้ามปู เปิดเดินเครื่องให้วัตถุดิบทั้งหมดเข้ากัน ก่อนจะเติมน้ำหมักอีเอ็ม ที่ได้มาจากกรมพัฒนาที่ดินใส่ลงไป และตามด้วยเชื้อราไตรโคเดอ์มา ที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ผลิตออกมาจำหน่ายให้กับเรา ผสมลงไปในขั้นตอนสุดท้าย
ก่อนจะคลุกเคล้าให้วัตถุดิบทั้งหมดเข้ากันแล้วจะนำออกจากเครื่องออกมาบรรจุลงถุงในอัตราถุงละ 5 กก. แล้วออกวางจำหน่ายในท้องตลาดราคา 6 ถุง 100 บาท ซึ่งกำไรไม่มากมายนักแต่ทำเพื่อให้ชาวบ้านชาวสวนได้ใช้ปุ๋ยคุณภาพดีราคาไม่แพงนัก
ก่อนที่จะออกมาจำหน่ายเราได้ทดลอง นำไปปลูกต้นไม้ ทั้งไม้ผล ไม้ดอกไม้ประดับ พบว่าเจริญงอกงามดี เมื่อนำไปทดสอบทางห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จึงรู้ว่าดินปลูกผสมปุ๋ยอินทรีย์ มีคุณสมบัติ สร้างให้ต้นไม้แข็งแรง มีเชื้อราไตรโคเดอร์มา เป็นตัวช่วยให้ปุ่มปมรากต้นไม้ทำงานได้ดี
แต่มีปัญหาเกี่ยวกับการจัดเก็บจะต้องไม่ถูกแสงแดดจัดหรือถูกน้ำฝน ตกใส่ เพราะเชื้อราไตรโคเดอร์มาจะสูญสลายไปโดยง่ายื อีกทั้งยังมีข้อจำกัด เก็บไว้ได้เพียงปีเดียวเท่านั้น
ใครสนใจไปเยี่ยมชมโรงงาน หรือชมขั้นตอนการผลิต ตี๋พานทองพร้อมเสมอ แต่ขอให้ติดต่อไปก่อนที่ 08-1781-8747 ไม่เว้นแม้วันหยุดราชการ กรมส่งเสริมการเกษตร เผยสถานการณ์ผลผลิตและการเก็บเกี่ยวผลไม้ภาคตะวันออก ปี 2564 ผลผลิตลดจากปีที่แล้วร้อยละ 10 เหตุเพราะสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ประกอบกับได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน ส่งผลให้ราคาไม้ผลปีนี้ปรับตัวสูงขึ้น
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เผยว่า จากการสำรวจข้อมูลเอกภาพไม้ผลภาคตะวันออก (ระยอง จันทบุรี ตราด) ปี 2564 (ข้อมูล ณ 19 เมษายน 2564) โดยฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) กรมส่งเสริมการเกษตร พบว่า ไม้ผลทั้ง 4 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง มีผลผลิตรวม 900,126 ตัน ลดลงจากปี 2563 ที่มีจำนวน 995,501 ตัน (ลดลง 95,375 ตัน หรือร้อยละ 10) เนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย หนาวเย็นนาน สลับกับมีฝนตกในช่วงปลายปี 2563 จนถึงต้นปี 2564 ทำให้ออกดอกได้น้อย ไม่เต็มต้น โดยทุเรียน ให้ผลผลิต 575,542 ตัน มังคุด 106,796 ตัน เงาะ 197,708 ตัน และลองกอง 20,080 ตัน ทั้งนี้ ผลผลิตทั้ง 4 ชนิดจะออกมากช่วงเดือนพฤษภาคม 2564 สำหรับประมาณการผลผลิตรายจังหวัดมีดังนี้
ทุเรียน ได้แก่ จังหวัดระยอง 120,080 ตัน เก็บเกี่ยวแล้ว 20,842 ตัน (ร้อยละ 17.36) จันทบุรี 398,618 ตัน เก็บเกี่ยวแล้ว 68,898 ตัน (ร้อยละ 17.28 ตัน) ตราด 56,844 ตัน เก็บเกี่ยวแล้ว 19,190 ตัน (ร้อยละ 33.76) ภาพรวมทุเรียนภาคตะวันออก ประมาณการผลผลิต 575,542 ตัน เก็บเกี่ยวแล้ว 108,930 ตัน คิดเป็นร้อยละ 18.93 โดยทุเรียนเกรด A ราคา 113.33 บาท/กิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยรายสัปดาห์ ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 12.25 บาท/กิโลกรัม
มังคุด ได้แก่ จังหวัดระยอง 12,724 ตัน เก็บเกี่ยวแล้ว 472 ตัน (ร้อยละ 3.71) จันทบุรี 71,695 ตัน เก็บเกี่ยวแล้ว 1,622 ตัน (ร้อยละ 2.26 ตัน) ตราด 22,377 ตัน เก็บเกี่ยวแล้ว 1,198 ตัน (ร้อยละ 5.35) ภาพรวมมังคุดภาคตะวันออก ประมาณการผลผลิต 106,796 ตัน เก็บเกี่ยวแล้ว 3,292 ตัน คิดเป็นร้อยละ 3.08 โดยมังคุดเกรด A ราคา 196.67 บาท/กิโลกรัม ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 11.94 บาท/กิโลกรัม
เงาะ (โรงเรียน) ได้แก่ จังหวัดระยองให้ผลผลิต 5,350 ตัน จันทบุรี 99,179 ตัน ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวทั้ง 2 จังหวัด ตราด 93,179 ตัน เก็บเกี่ยวแล้ว 8,763 ตัน (ร้อยละ 9.40) ภาพรวมเงาะ (โรงเรียน) ภาคตะวันออก ประมาณการผลผลิต 197,708 ตัน เก็บเกี่ยวแล้ว 8,763 ตัน คิดเป็นร้อยละ 4.43 โดยเกรด A ราคา 55 บาท/กิโลกรัม ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 8.95 บาท/กิโลกรัม
ลองกอง ประมาณการผลผลิตภาคตะวันออก 20,080 ตัน ขณะนี้ยังไม่มีการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 21.26 บาท/กิโลกรัม
ขณะที่ลิ้นจี่ (นครพนม 1) สมัครพนันออนไลน์ ของภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ให้ผลผลิต 19,937 ตัน เชียงราย 3,059 ตัน น่าน 3,708 ตัน ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวทั้ง 3 จังหวัด พะเยา 4,012 ตัน เก็บเกี่ยวแล้ว 3 ตัน (ร้อยละ 0.07) ภาพรวมลิ้นจี่ภาคเหนือ ประมาณการผลผลิต 30,716 ตัน เก็บเกี่ยวแล้ว 3 ตัน คิดเป็นร้อยละ 0.01 โดยเกรด AA ราคา 100 บาท/กิโลกรัม ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 17.43 บาท/กิโลกรัม