มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ หรือเคยูเฟิร์สท (KU-FIRST) จัดเว็บบินาร์ในหัวข้อเรื่อง โปรตีนทางเลือก…อาหารใหม่ อาหารแห่งอนาคต “แมลงกินได้” ภายใต้แนวคิดอาหารปลอดภัย โภชนาการมั่นคง ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ผู้ประกอบการ และผู้สนใจ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมได้จริง
ผศ.ดร.วราภา มหากาญจนกุล ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมวิทยาการอาหาร มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ กล่าวว่า KU-FIRST เป็นหน่วยงานในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการอาหาร ทั้งในด้านโภชนาการและความปลอดภัยอาหาร โดยร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภายในและภายนอก สำหรับ “แมลงกินได้” มีแนวโน้มเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในฐานะแหล่งโปรตีนทางเลือกและอาหารแห่งอนาคต ด้วยคุณสมบัติการเป็น superfood ที่มีจุดเด่นในการเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพ และอุดมด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อตอบโจทย์ทั้งทางด้านความมั่นคงทางอาหารและการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตในยุคนิวนอร์มอล KU-FIRST จึงจัดเว็บบินาร์หรือสัมมนาออนไลน์อย่างต่อเนื่องครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ในหัวข้อ “โปรตีนทางเลือก…อาหารใหม่ อาหารแห่งอนาคต “แมลงกินได้” เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับผู้ผลิตและผู้บริโภคเกี่ยวกับแมลง
ความสำคัญของกฎระเบียบและมาตรฐานด้านความปลอดภัยต่อการส่งออก การเพาะเลี้ยง การจัดการฟาร์ม เพื่อผลิตอาหารปลอดภัย รวมถึงคุณค่าและโภชนาการ โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ดร.รุจิเรช น้อยเสงี่ยม นักวิเคราะห์นโยบายและแผน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ผศ.ดร.ชามา อินซอน ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ผศ.ดร.วศะพร เพรททิเซย์ จันทร์พุฒ ภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ดร.รุจิเรช น้อยเสงี่ยม นักวิเคราะห์นโยบายและแผน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพและโอกาสก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตอาหารทางเลือกจากแมลงป้อนตลาดโลก ด้วยจุดแข็งด้านสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะเลี้ยงแมลงหลายชนิด มีองค์ความรู้ด้านมาตรฐานการผลิตเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะจิ้งหรีดซึ่งเป็นแมลงกินได้ต้นแบบ ที่ได้รับการยกระดับผลิตตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มจิ้งหรีด (มกษ. 8202-2560) และมีการส่งเสริมการส่งออกอย่างเป็นรูปธรรม
“ในหลายประเทศแมลงกินได้ยังถือว่าเป็นอาหารใหม่ หรือ Novel food และไม่มีกฎหมายหรือข้อกำหนด ประเทศที่มีกฎระเบียบในการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากแมลงที่ชัดเจนในปัจจุบัน คือ เม็กซิโกและสหภาพยุโรป สำหรับสหภาพยุโรปปัจจุบันไทยอยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลทางเทคนิคเพื่อขอเปิดตลาดตามกฎระเบียบ Novel Food แต่สำหรับเม็กซิโก ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรของไทยได้สร้างระบบการควบคุมความปลอดภัยอาหารของผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดตลอดห่วงโซ่และเจรจาสร้างความเชื่อมั่นในระบบของไทย จนสามารถเปิดตลาดเม็กซิโกได้สำเร็จเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยการส่งออกผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดหรือแมลงกินได้ไปยังประเทศที่ต้องการใบรับรองสุขอนามัยจากหน่วยงานรัฐของไทย”
นอกจากนี้ ดร.รุจิเรข ยังเน้นย้ำอีกว่า “กฎระเบียบและมาตรฐานด้านความปลอดภัยอาหาร ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ควบคุมและป้องกันความเสี่ยงจากอาหารต่อสุขภาพผู้บริโภค แต่สิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระยะยาว คือ ความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบของผู้ผลิต ซึ่งจะส่งผลให้อุตสาหกรรมอาหารรวมถึงผลิตภัณฑ์แมลงกินได้ของไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากลและพัฒนาไปได้อย่างยั่งยืนต่อไป”
ด้าน ผศ.ดร.ชามา อินซอน ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตรมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ กล่าวถึงศักยภาพของ “จิ้งหรีด” ในการเป็นแมลงเศรษฐกิจว่า “ประเทศไทยสามารถผลิตจิ้งหรีดเพื่อการค้าสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยเศรษฐกิจ “BCG Model” ได้ การเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์นั้น ผู้เลี้ยงจิ้งหรีดจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่องชนิด วงจรชีวิต พฤติกรรมของจิ้งหรีด และการจัดการระบบฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐานที่เรียกว่า “การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มจิ้งหรีด”
หรือ GAP ฟาร์มจิ้งหรีด รวมทั้งควรใช้เทคโนโลยีในการจัดการฟาร์มที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับแบบเรียลไทม์ (real-time traceability) ได้ จึงจะส่งผลให้ผลผลิตจิ้งหรีดที่ได้จากฟาร์มมีคุณภาพดี เป็นอาหารที่ปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้แล้ว การแปรรูปจิ้งหรีดเป็นผง สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิตจิ้งหรีด เนื่องจากเป็นอาหารแหล่งโปรตีนสูงเพื่อสุขภาพ เพื่อผู้บริโภคทั้งภายในประเทศและการส่งออก ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสแก่ผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น”
ผศ.ดร.วศะพร เพรททิเซย์ จันทร์พุฒ ภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่าปัจจัยสำคัญต่อความปลอดภัยอาหารของแมลงก็คือ “ระบบการขนส่งที่ไม่ได้มาตรฐานเรื่องความเย็น และความสะอาด ทำให้เกิดการปนเปื้นของแบคทีเรียที่สามารถเปลี่ยนกรดอะมิโนฮิสทิดีน (histidine) เป็นฮิสตามีน (histamine) ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้กับผู้บริโภคได้ นอกจากนี้ แมลงกินได้ยังมีโปรตีนบางชนิดคล้ายกับโปรตีนก่อภูมิแพ้ (allergen) ในสัตว์ทะเลเปลือกแข็ง เช่น กุ้ง ปู กั้ง ดังนั้นผู้บริโภคที่มีประวัติการแพ้โปรตีนจากสัตว์ทะเลเปลือกแข็งจึงไม่ควรรับประทานแมลง”
“จุดเด่นที่สุดของแมลง คือ แมลงมีปริมาณโปรตีนสูงกว่าร้อยละ 50 ของน้ำหนักแห้ง มีกรดไขมันที่เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (monounsaturated fatty acid) และหลายตำแหน่ง (polyunsaturated fatty acid) รวมทั้งมีโปรตีนที่มีความสามารถในการย่อยได้สูง (protein digestibility) อุดมไปด้วยกรดอะมิโนจำเป็นครบเกือบทุกชนิด (essential amino acid) จึงกล่าวได้ว่าโปรตีนแมลงเป็นโปรตีนแห่งอนาคต” ผศ.ดร.วศะพร กล่าว
วันนี้กรมวิชาการเกษตรส่งข่าวมาให้สื่อมวลชนเหมือนเคยครับ นั่นคือข่าว “ทุเรียนรสเนยมาตรฐาน GAP แห่งแรกจังหวัดชัยภูมิ” (เขียนโดย พนารัตน์ เสรีทวีกุล) ข่าวนี้เข้ากระแสเพราะว่าคนไทยเราหายใจเข้าออกเป็นทุเรียนก็ว่าได้ เพราะพืชผลตัวอื่นราคาตก แต่ทุเรียนยังยืนหยัดอยู่ได้ ใครๆจึงพุ่งเป้าไปที่ทุเรียน ก็อย่างว่าแหละครับบ้านเรานั้นอิสระเสรี ใครใคร่ปลูก ปลูก…
เคยมีคำกล่าวว่า ใครนึกไม่ออกว่าจะปลูกอะไรดีก็ให้ปลูกกล้วย แต่บัดนี้อาจไม่ใช่แล้วครับ ใครนึกไม่ออกว่าจะปลูกอะไรก็ให้ปลูกทุเรียนครับ
เพราะว่าเกษตรกรไทยนั้นเก่งเรื่องการปลูกเป็นอย่างมาก ที่ดินหัวไร่ปลายนาปลูกขึ้นหมด ดินไม่ดีก็ปรุงดินได้ ดินโคลนดินดานไม่วิตก ดินน้ำท่วมก็ยกโคกให้สูงให้ระบายน้ำดี (ส่วนเรื่องการตลาดก็ไปว่ากันดาบหน้า แต่ตอนนี้ก็เริ่มจับทางกันได้มากแล้ว)
มาว่ากันที่ทุเรียนรสเนยมาตรฐาน GAP แห่งแรกจังหวัดชัยภูมิดีกว่าครับ สวนทุเรียนที่เป็นข่าวนี้ตั้งอยู่ตำบลบ้านไร่ อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นสวนทุเรียนแห่งแรกของจังหวัดชัยภูมิที่ได้รับการรับรองแหล่งผลิตตามมาตรฐาน GAP จากศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรชัยภูมิ กรมวิชาการเกษตร เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2564 โดยมี นายธงชัย นราทอง และ นางสอาด นราทอง เป็นเจ้าของ…
..ก่อนจะมาเป็นสวนทุเรียนในวันนี้ เจ้าของสวนรายนี้เคยประกอบอาชีพค้าขายแตงโมมาก่อนที่จะเริ่มปลูกทุเรียนในปี พ.ศ. 2556 เนื่องจากอำเภอเทพสถิตมีสภาพพื้นที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของทุเรียน และยังเป็นพืชที่เป็นที่ต้องการของตลาดและให้ผลตอบแทนสูง โดยเริ่มต้นจากปลูกทุเรียนในพื้นที่ 200 ไร่ ซึ่งขั้นตอนแรกของการผลิตทุเรียนให้ประสบผลสำเร็จนั้นนายธงชัยบอกว่าจำเป็นต้องมีการจัดการเรื่องระบบน้ำที่ดีจึงติดตั้งระบบน้ำแบบสปริงเกอร์ และขุดบ่อน้ำขนาดพื้นที่ 14 ไร่ จากอีกฝั่งของสวนเพื่อส่งน้ำมายังสวนทุเรียนให้เพียงพอต่อความต้องการน้ำในแต่ละช่วงการเจริญเติบโต โดยมีการให้น้ำวันเว้นวันประมาณ 2 ชั่วโมง อัตรา 140 ลิตร/ต้น
นายธงชัยได้เรียนรู้วิธีการปลูกและดูแลแก้ไขปัญหาภายในสวนทุเรียนเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน GAP จากศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรชัยภูมิ โดยปัญหาที่พบในการผลิต ได้แก่ ระยะออกดอกจนถึงการติดผล การหลุดร่วงของผลทุเรียน ซึ่งแนวทางแก้ไขคือต้องระวังไม่ให้ทุเรียนแตกใบอ่อน โดยพ่นปุ๋ยน้ำทางใบอัตรา 20 ลิตร /น้ำ 1,000 ลิตร ตัดแต่งทรงพุ่มไม่ให้เกิน 5 เมตร และมีการตัดยอดเพื่อไม่ให้ต้นทุเรียนสูงเกินไปซึ่งจะทำให้ยากต่อการจัดการและเก็บเกี่ยวผลผลิต มีการสำรวจโรคแมลงอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการใช้สารเคมีเท่าที่จำเป็นตามคำแนะนำ และเก็บเกี่ยวผลผลิตในระยะปลอดภัย
นอกจากนี้ นายธงชัยยังมีเทคนิคในการนับวันเก็บเกี่ยวทุเรียน โดยการจดบันทึกตั้งแต่ดอกบาน นับไป 110-120 วัน จึงทำการเก็บเกี่ยวผลผลิต และก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตจะงดใช้สารเคมีประมาณ 2 สัปดาห์ ข้อควรระวังช่วงติดผลคือหากพบเพลี้ยแป้งที่ผลทุเรียน ผิวผลจะมีสีดำ ไม่ได้คุณภาพ ส่งผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่งทุเรียนที่จะส่งออกไปประเทศจีนมีการกำหนดมาตรฐานด้านคุณภาพตามมาตรฐาน GAP โดยช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตจะมีล้งจากจังหวัดจันทบุรีเข้ามารับซื้อผลผลิตที่ความสุก 75-80 เปอร์เซ็นต์ และหลังจากที่ต้นทุเรียนให้ผลผลิตหมดแล้วจะทำการบำรุงต้นทุเรียนให้อุดมสมบูรณ์เพื่อรองรับการติดดอกออกผลในปีต่อไป
ทุเรียนพันธุ์หมอนทองของสวนนราทองมีเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนสวนทุเรียนที่ใด คือ ไม่มีกลิ่นฉุน รสชาติหวานหอม เนื้อละเอียด ไม่มีเส้นใย เมื่อรับประทานแล้วจะมีรสชาติคล้ายเนย จึงเป็นที่นิยมของผู้บริโภค และเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ โดยผลผลิตทุเรียนที่สวนนราทองจะส่งออกไปประเทศจีน จำหน่ายในราคา 140 บาท/กิโลกรัม ขายแบบรวมเกรด โดยเกรด A น้ำหนักผลเฉลี่ย 4-6 กิโลกรัม เกรด B น้ำหนักผลเฉลี่ย 3-4 กิโลกรัม และเกรด C น้ำหนักผลเฉลี่ย 2 กิโลกรัม ซึ่งในปี2564 นี้ผลผลิตที่สวนนราทองมีจำนวนทั้งหมดประมาณ 80 ตัน โดยเฉลี่ยแล้วนายธงชัยมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตทุเรียนประมาณ 11.2 ล้านบาท / ปี
ทางด้าน นายสุพจน์ สัตยากุล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรชัยภูมิ กล่าวว่า การตรวจประเมินและให้การรับรองแหล่งผลิต GAP เป็นอีกหนึ่งภารกิจของศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรชัยภูมิ เพื่อให้เกษตรกรสามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ข้อกำหนดได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งยังได้เข้าไปให้ความรู้การผลิตและแนวทางในการขอรับรองตามมาตรฐานระบบคุณภาพ GAP ซึ่งที่สวนนราทองแห่งนี้นอกจากเจ้าของสวนจะภาคภูมิใจที่สามารถผลิตผลผลิตที่มีคุณภาพปลอดภัย และมีรสชาติดีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนที่ใดทำให้ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน GAP เป็นแห่งแรกของจังหวัดชัยภูมิแล้ว ที่สวนแห่งนี้ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจในการผลิตทุเรียนให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานเข้ามาเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการปลูกทุเรียนอีกด้วย..
เอาละครับ ทั้งหมดนั้นก็คือรายละเอียดของข่าว ว่าแต่ตอนนี้อยากชิมทุเรียนหมอนทองรสเนยจังเลย แต่ข่าวนี้ไม่มีที่อยู่ที่ติดต่อ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ คงหาไม่ยาก หรือว่าใครที่ได้ชิมแล้วรสเนยจริงไหม อร่อยสมคำร่ำลือเพียงใด ถ้าไม่เจอล็อคดาว์นโควิด พรุ่งนี้ว่าจะพุ่งตรงไปสวนนราทองกันเลยครับ
ช่วงนี้มะนาวจากสวนทยอยออก ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคมะนาวหลักๆได้รับผลกระทบจากโควิดกันถ้วนหน้า เช่น ร้านอาหารภัตตาคาร ที่เคยใช้มะนาวจำนวนมากต้องปิดตัวเพราะล็อกดาว์น ขณะที่ตลาดใหญ่ๆก็ปิดทำการ..เกษตรกรจะฝ่าวิกฤตอย่างไร?
“ช่วงนี้มะนาวในสวนเกษตรกรออกไม่ได้เลยครับ ตลาดศรีเมืองปิด ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมืองคนเข้าน้อย เพราะว่าขั้นตอนการตรวจโควิดต่างๆที่ทำให้ยุ่งยาก สหกรณ์ก็เลยช่วยสมาชิกชาวสวนเอามะนาวมาแปรรูปน้ำ 100% แช่แข็ง มีโปรโมชั่น น้ำมะนาว 1 กก.(คั้นจาก80ผล) จากราคา 130 บาท เหลือ 50บาท/กก. มีจำนวน 10 ตัน เท่านั้น ราคานี้ยังไม่รวมค่าส่งครับ” คุณนิวัติ ปากวิเศษ ประธานกลุ่มสหกรณ์ผู้ปลูกมะนาวบ้านแพ้ว-ดำเนินสะดวก ส่งข้อความมาทางไลน์
เมื่อได้ฟังดังนั้น “เกษตรก้าวไกล” ไม่รอช้าได้สัมภาษณ์คั้นสด ภายใต้โครงการเกษตรก้าวไกลLIVEฝ่าวิกฤตโควิดทั่วไทย ในทันทีทันใด ตามรายละเอียดในคลิปข้างต้น
อย่าลืมเมื่อได้ชมจบแล้ว ฝากให้ทุกท่านได้ช่วยเหลือกันตามกำลังเพื่อเกษตรกรไทยฝ่าวิกฤตโควิดไปด้วยกัน และเกษตรก้าวไกลขอส่งความห่วงใยมายังสมาชิกผู้ติดตามทุกท่าน
อนึ่ง คุณนิวัติ ได้ส่งภาพและข้อความมาล่าสุด(6 สิงหาคม 64) บอกว่า “ชาวสวนมะนาวเจอพิษโควิด-19 ขายไม่ได้ต้องเอามาเททิ้ง สู้ๆครับ” ซึ่งเป็นมะนาวที่ระบายไม่ทันก็ต้องขนไปทิ้ง เป็นภาพที่ไม่อยากให้เกิด แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะนำไปเป็นบทเรียน ซึ่งก็อยากให้ผู้เกี่ยวข้องลงมาดูแลและชาวสวนมะนาวพร้อมสู้ไปด้วยกัน
ภาพข่าวนี้เป็นบรรยายกาศการลงพื้นที่เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2564 ของ พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหาร จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เพื่อรับทราบปัญหาการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร ของผู้ประกอบการในพื้นที่ จ.ยะลา พร้อมเชิญทุกฝ่ายเร่งหาแนวทางช่วยเหลือ หลังพบผลผลิตระบายของสู่ตลาดไม่ทัน..ที่เห็นในภาพนี้คือบริเวณแยกมาลายูบางกอง ถนนสาย 15 ตำบลสะเตง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ได้มีการหารือและพูดคุยกับกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการในการรับซื้อผลไม้เพื่อรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
โดยบริเวณจุดดังกล่าวถือเป็นจุดที่มีการรับซื้อทุเรียนรายใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่ในพื้นที่จะนำทุเรียนมาจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการเพื่อส่งจำหน่ายต่อในพื้นที่อื่นๆ โดยปัญหาที่พบในปีนี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของระบบการขนส่งที่ไม่สามารถขนส่งไปจำหน่ายในพื้นที่ต่างๆ ได้ เนื่องจากในพื้นที่เองมีมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสโควิด – 19 ในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะในการเดินทางไปมานอกพื้นที่ ขณะเดียวกันกลุ่มเกษตรกรประสบปัญหาราคาผลไม้ที่ตกต่ำเนื่องจากมีผลผลิตจำนวนมาก ทำให้ล้นตลาด ทำให้ราคาตกต่ำกว่าทุกปี
ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ยังได้พบปะพูดคุยกับ นายจิระ พยุงภร ผู้ประกอบการทุเรียนบริษัท เอเจ ฟรุ๊ต อินเตอร์เทรด จำกัด ซึ่งได้เปิดเผยว่า ทางบริษัทมีการรับทุเรียนจากกลุ่มเกษตรกรประมาณวันละ 30 – 40 ตัน โดยปัจจุบันประสบปัญหาด้านการขนส่งทุเรียนออกนอกพื้นที่ที่เป็นไปด้วยความล่าช้า เนื่องจากมาตรการในการควบคุมพื้นที่เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสโควิด – 19 ซึ่งรถคอนเทนเนอร์ในการส่งของในแต่ละรอบนั้นมาไม่ทันเวลา ทำให้ทางบริษัทต้องแปรรูปทุเรียนและรับซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีการแปรรูปเพื่อเป็นการถนอมอาหารในเบื้องต้น โดยสามารถส่งออกนอกพื้นที่เพื่อจำหน่ายในแต่ละครั้ง 3 – 4 ตัน
ในโอกาสนี้ พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. ได้กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการมาเยี่ยมให้กำลังใจและมาเพื่อพูดคุยรับทราบปัญหาของผู้ประกอบการที่รับซื้อผลไม้ในพื้นที่ จากการพูดคุยทำให้ทราบถึงปัญหาที่เกิดจากความล่าช้าในการขนส่ง เพื่อกระจายสินค้าไปในพื้นที่อื่นๆ รวมถึงราคาผลไม้ที่มีราคาตกต่ำ ซึ่งปัญหาทั้งหมดจะรับไว้เพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือต่อไป โดยในวันศุกร์นี้จะมีการประชุมผู้เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันหาแนวทางช่วยเหลือต่อไป
เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวด้วยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ทำให้ทราบว่าลูกจ้างและพนักงานในระบบของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งจะรับไปดำเนินการประสานเพื่อให้ กลุ่มเหล่านี้ได้รับการฉีดวัคซีน เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง และป้องกันผู้อื่น เนื่องจากแต่ละวันจะต้องพบกลุ่มเกษตรกรที่มาขายผลไม้เป็นจำนวนมาก จึงมีความจำเป็นต้องป้องกันตนเองไว้ก่อน
ปิดท้ายข่าวนี้ “เกษตรก้าวไกล” อยากสื่อสารเชื่อมโยงไปถึงคนไทยผู้มีส่วนได้เสียทุกคน โควิดที่เกิดขึ้นคือสงครามโลก ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาวโลก เศรษฐกิจต่างๆล่มสลายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นี่คือการจัดระเบียบโลกที่ทำให้ทุกคนออกต้องสตาร์ทพร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง ใครสังคมใดไม่ให้ความร่วมมือก็ยากที่สงครามครั้งนี้จะสิ้นสุดลง ไม่มีคนจนคนรวยมีแต่คนมีน้ำใจกับไม่มีน้ำใจ ต้องเอื้อเฟื้อแบ่งปัน คนมีกำลังมากกว่าก็ต้องฉุดคนที่เมื่อยล้า ถึงคราวที่พลโลกต้องรักสามัคคีกัน ประเทศไทยของเรามีต้นทุนที่สำคัญมาช้านาน ถึงเวลาหรือยังที่เราทุกคนต้องลุกออกมาช่วยเหลือกันครับ
เมื่อเช้านี้ (9 ส.ค.63) “ลุงหมู” ทักผมมาใน inbox “สวัสดีครับ ลุงพร..สนใจ กลุ่ม Digital for farmer ครับ” (ขออนุญาตลุงหมูนำมาบอกกล่าวนะครับ เพราะตรงนี้ถือเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนเรื่องนี้) ซึ่งผมเคยเขียนเรื่องนี้ลงในเว็บไซต์เกษตรก้าวไกล และพูดผ่านรายการ LIVE สด “เกษตรก้าวไกลLIVEฝ่าวิกฤตโควิดทั่วไทย” เพราะผมคิดว่าระบบออนไลน์จะสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้มากถ้าพี่น้องเกษตรกรเข้าถึง ซึ่งตอนนี้ทุกหมู่บ้านก็มีอินเตอร์เน็ต (ดูอย่างโครงการคนละครึ่งที่ผ่านมา ชาวบ้านเริ่มใช้ประโยชน์กันได้แล้ว)
แต่สัญญาณอาจจะชัดไม่ชัดบ้าง (มีหลายครั้งที่ผมและทีมงานLIVEสดจากสวนจากพื้นที่ของเกษตรกร มีบางคนต่อว่าก็มีบอกว่าดูมาหลายหนแล้วไม่ชัดตลอด ทำไมไม่ถ่ายเป็นคลิป ซึ่งตรงนี้ผมอยากจะสื่อให้เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องเชื่อมโยงสังคมเกษตรไปสู่คนไทยทั่วประเทศ ตรงไหนชัดไม่ชัดผู้เกี่ยวข้องที่เป็นผู้วางระบบก็จะได้ปรับปรุงครับ-ผมคิดว่าการทำสัญญานอินเตอร์เน็ตให้ครอบคลุมทุกพื้นที่จะเป็นการส่งเสริมการลงทุนให้ลูกหลานหรือนักลงทุนกลับไปสู่บ้านเกิดหรือชนบท-ผมเคยคุยสดๆไว้ในรายการเมื่อเร็วๆนี้ครับ) แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี สิ่งสำคัญทุกคนมีมือถือ Smartphone อยู่ก็มาก แต่ยังใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ..ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งจะสำคัญที่สุดที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายครับ
ประจวบกับเมื่อวานทาง Thai PBS รายการดูให้รู้ ได้ออกอากาศ ในเรื่องที่คุณฟูจิมาสัมภาษณ์ผมในประเด็น “เกษตรกรยูทูปเปอร์” คือเรื่องที่เกษตรกรสามารถใช้ออนไลน์(ยูทูป)มาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารบอกกล่าวเรื่องราวของตัวเองหรือขายผลิตภัณฑ์ของตัวเองได้
ผมก็เลยอยากจะบอกกล่าวเพื่อนๆว่าในช่วงที่เกิดสงครามโควิด ซึ่งก็คงจะยืดเยื้อพอสมควร ถ้าใครที่ติดตามช่องทางการสื่อสารของผมจะเห็นว่าผมมองบวกมาตลอด มองว่าโควิดเป็นเพื่อนเกษตรกร มองว่าโควิดคือโอกาสบ้างละ ฯลฯ เพราะผมพิจารณาดูแล้ว โควิดทำอะไรภาคเกษตรได้น้อยมาก เราจะพลิกให้ศัตรูมาเป็นมิตรได้อย่างไร โดยเฉพาะผู้ที่พึ่งพาตนเองมาด้วยอาชีพการเกษตรแท้ๆ เรียกว่าโควิดผลักให้มนุษย์ไปอยู่ในมุมสีเขียว คือ “เศรษฐกิจสีเขียว” ไม่ใช่มุมแดงมุมน้ำเงินอย่างแต่ก่อนแล้ว
มุมสีเขียวหรือเศรษฐกิจสีเขียว จะเป็นสิ่งเดียวที่เกษตรกรไทยของเรามีความได้เปรียบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ BCG Economy หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) คือ โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (เรื่องนี้ถ้าจะว่าไปก็ยาวไปถึงองค์การสหประชาชาติเลยครับ) เอาเป็นว่ามันเป็นโอกาสเดียวที่พี่น้องเกษตรกรไทยจะได้ออกสตาร์ทพร้อมกันกับบรรดาคนตัวใหญ่ๆทั้งหลาย ที่เหมือนจอดรถอยู่ข้างทาง แต่เดิมนั้นเขาจะบอกว่าปลาใหญ่กินปลาเล็กแต่เดี่ยวนี้ไม่เสมอไปแล้วครับ
เราเป็นคนตัวเล็กเวลาพลิกตัวลุกขึ้นจะไวกว่าคนตัวใหญ่ เพราะถึงยุคที่เรียกว่าปลาเร็วกินปลาช้าครับ ถ้าเราไม่ใช้โอกาสนี้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร ชาติไหน ถึงจะมีโอกาสอีก…
วันนี้ผมได้นำภาพที่ YouTube บอกกับผมว่า “ความสำเร็จใหม่” (หาดูให้เจอว่าอยู่ตรงไหนของภาพ) คือช่องยูทูปเกษตรก้าวไกลไปด้วยกันที่ผมและทีมงานทำอยู่นั้น มีคนดูครบ 15 ล้านครั้งเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ผมก็มาคิดว่าควรจะบอกดีหรือไม่ แต่คิดในทันทีทันใดก็คือ ควรจะบอกดีกว่า สิ่งที่อยากบอกไปกว่านั้นก็คือว่า พี่น้องเกษตรกรไทยของเราเก่งเรื่องการผลิตอยู่แล้ว แม้แต่ทุเรียนก็ยังคิดประดิษฐ์ประดอยให้ปลูกในนาได้ แต่พี่น้องอย่าลืมนะครับ เวลานี้เราเก่งเรื่องการผลิตอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องเก่งเรื่องการตลาดควบคู่กันไป อย่าคิดแบบเดิมๆว่าให้เพื่อนเขาทำบ้าง โลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนแปลงหมดแล้ว ใครพึ่งพาตนเองได้เป็นทางรอดที่ดีที่สุด
ผมพูดไปมากกว่านี้ก็จะยาวไปอีกไม่มีวันจบง่ายๆ เอาเป็นว่าให้พี่น้องนำเครื่องมือที่มีอยู่มาใช้ให้เป็นประโยชน์ทั้งการผลิตและการตลาดให้มากที่สุด เครื่องมือบางอย่างแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลยครับ มันอยู่ในมือของเราอยู่แล้ว เทคโนโลยีทุกวันนี้มันได้ออกแบบให้คนคนเดียวทำอะไรได้หลายอย่าง ขอให้เรียนรู้ด้วยตัวเองก่อน (บนโลกออนไลน์มีให้เรียนรู้ทุกอย่าง) พอติดตรงไหนเราค่อยถามเพื่อนครับ
ใช้เวลาที่รัฐบาลล็อกดาว์นมาทำประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับตนเอง รอบตัวเรายังมีอาชีพที่เราสามารถพัฒนาต่อยอดขึ้นได้มากมาย
ผมจบดื้อๆว่า “โลกยุคใหม่ชนบทคือความทันสมัย” สวัสดีครับ กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 10 สิงหาคม 2564 – ฟอร์ด ประเทศไทย ตอกย้ำพันธกิจในการสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงกลุ่มเกษตรกรหญิงรุ่นใหม่ที่เป็นแรงผลักดันทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศผ่านโครงการ “ฟอร์ดเติมฝันเกษตรกรหญิงรุ่นใหม่” ด้วยการมอบเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 200,000 บาทให้แก่ผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายในการแข่งขันเพื่อต่อยอดการดำเนินธุรกิจด้านการเกษตร
สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากโครงการ “ฟอร์ดเติมฝันเกษตรกรหญิงรุ่นใหม่ (Ford Moves Her Business)” ได้แก่ นางปนิดา มูลนานัด เกษตรกรหญิงผู้ทำธุรกิจแปรรูปกล้วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร จากจังหวัดเพชรบุรี จะได้รับรางวัลเป็นทุนต่อยอดธุรกิจมูลค่า 100,000 บาท และสิทธิพิเศษในการทดลองขับรถกระบะ ฟอร์ด เรนเจอร์ เป็นระยะเวลา 3 เดือน
นางปนิดา มูลนานัด ทำหน้าที่ประธานวิสาหกิจชุมชนวัยหวาน อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี สามารถเอาชนะใจคณะกรรมการจากกรมส่งเสริมการเกษตร สมาคมสื่อมวลชนเกษตร และผู้แทนจากฟอร์ด ประเทศไทย ด้วยแผนงานการพัฒนาธุรกิจทางการเกษตรในการแปรรูปกล้วยหอมทองตั้งแต่รากจรดใบ ต่อยอดไปถึงธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ถ่ายทอดความรู้ด้านการทำการเกษตรให้แก่ชุมชนและผู้อื่น ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรในชุมชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
มีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำการเกษตรอย่างสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร ช่วยสร้างงานให้กับคน เพิ่มรายได้ให้กับชุมชน และสร้างการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน พร้อมนำเสนอการใช้งานรถกระบะฟอร์ด เรนเจอร์ เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น จนได้รางวัลชนะเลิศไปครอง โดยนอกจากเงินทุนสำหรับต่อยอดพัฒนาธุรกิจมูลค่า 100,000 บาท และสิทธิพิเศษในการทดลองขับ ฟอร์ด เรนเจอร์ นาน 3 เดือนแล้ว ผู้ชนะยังมีโอกาสประชาสัมพันธ์ธุรกิจการเกษตรของตนผ่านกิจกรรมกับสื่อมวลชนและช่องทางออนไลน์ของฟอร์ดในอนาคตอีกด้วย
สำหรับรางวัลรองชนะเลิศ จำนวน 2 รางวัลเป็นของ นางสาวยอดหญิง พรชัยสิทธิ์ เจ้าของธุรกิจมะพร้าวน้ำหอม โคโค่ คาวบอย จากจังหวัดฉะเชิงเทรา และนางสาวปนัดดา กังวล เจ้าของไร่อ้อยและสัปปะรด จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้รับทุนสนับสนุนรางวัลละ 30,000 บาท นอกจากนี้ ฟอร์ดยังมอบรางวัลชมเชยให้แก่ผู้เข้ารอบสุดท้ายรายอื่นๆ เป็นเงินทุนสนับสนุนมูลค่า 5,000 บาท จำนวนทั้งสิ้น 8 รางวัล
และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรหญิงมีความรู้ความสามารถในการทำธุรกิจในยุคดิจิทัลอย่างสร้างสรรค์ ฟอร์ดยังได้จัดกิจกรรมเวิร์คช็อปอบรมพัฒนาธุรกิจทางการเกษตรผ่านช่องทางออนไลน์ในหัวข้อ “รู้จักชาวเน็ตไทย” และ “ทำการตลาดดิจิทัลอย่างไรให้ปัง กับ Google” สนับสนุนข้อมูลโดยกูเกิล ประเทศไทย ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสการเรียนรู้และเสริมทักษะด้านดิจิทัลให้แก่เกษตรกรหญิงผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทุกคน
“ฟอร์ดขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับผู้ชนะโครงการ ‘ฟอร์ดเติมฝันเกษตรกรหญิงรุ่นใหม่’ โครงการนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ากลุ่มเกษตรกรหญิงไทยในยุค 4.0 นั้นมีศักยภาพในการยกระดับธุรกิจของตนเองให้ทันสมัย มีความกล้าทำสิ่งใหม่ๆ พร้อมปรับตัวรับความท้าทาย และมีความพยายามที่จะสร้างเส้นทางสู่ความสำเร็จในแบบของตนเอง อีกทั้งยังสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ตรงกับแนวคิด ‘Live The Ranger Life’ หรือการใช้ชีวิตแบบฟอร์ด เรนเจอร์ ซึ่งเป็นรถกระบะที่ตอบโจทย์การใช้งานที่สมบุกสมบันในทุกงานเกษตร และเป็นยานพาหนะที่พร้อมพาเกษตรกรหญิงไทยพัฒนาสู่ความสำเร็จในการประกอบอาชีพ” นายวิชิต ว่องวัฒนาการ กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าว
โครงการฟอร์ดเติมฝันเกษตรกรหญิงรุ่นใหม่ (Ford Moves Her Business) เป็นโครงการที่ฟอร์ดร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตรเชิญชวนเกษตรกรหญิงอายุไม่เกิน 45 ปี ที่เป็น Young Smart Farmer หรือสมาชิกกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรทั่วประเทศ หรือเกษตรกรทั่วไป ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรด้วยตนเอง หรือเป็นสมาชิกในครัวเรือนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมบอกเล่าเรื่องราวการทำการเกษตรของตนเอง พร้อมแนวคิดการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ โดยมีรถกระบะฟอร์ด เรนเจอร์ เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร-กระทรวง พม.-สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย-เกษตรก้าวไกล-เกษตรทำกิน-มติชน ผนึกกำลังซีพี-ซีพีเอฟ’ ภายใต้โครงการ “ครัวปันอิ่ม” มอบข้าวกล่อง-หน้ากากอนามัย ช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากภัยโควิด-19 เผยจุดแจกที่เคหะดินแดง 2 คึกคัก รัฐมนตรี พม.นำทีมมารับมอบด้วยตนเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการเปิดตัวแจกข้าวกล่อง 2 ล้านกล่อง ภายใต้โครงการ “ครัวปันอิ่ม” ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564ที่ผ่านมา แต่วันนี้(16 สิงหาคม 2564) ถือว่าคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมกับ นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ และ นายวิชาญ เขียวแก้ว ประธานชุมชนดินแดง มาร่วมรับมอบข้าวกล่องอุ่นร้อนพร้อมทาน และหน้ากากอนามัย จากซีพี-ซีพีเอฟ พร้อมพันธมิตรมูลนิธิสืบนาคะเสถียร-สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย-เกษตรก้าวไกล-เกษตรทำกิน-มติชน สำหรับจุดส่งมอบข้าวกล่อง “เคหะชุมชนดินแดง 2” เป็นหนึ่งใน 40 จุดทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อนำข้าวกล่องส่งต่อให้กับผู้อยู่อาศัยในเคหะชุมชนดินแดง 2 เป็นการแบ่งเบาภาระ บรรเทาความเดือดร้อน ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังระบาดอยู่ขณะนี้
โครงการ “ครัวปันอิ่ม” เป็นการผนึกกำลังเครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกับพันธมิตรกว่า 100 องค์กร ส่งมอบข้าวกล่องอุ่นร้อนพร้อมทาน จำนวน 2 ล้านกล่อง ซึ่งประกอบด้วย 1 ล้านกล่องแรกมาจากร้านอาหารรายย่อยในกทม. และปริมณฑล และอีก 1 ล้านกล่องมาจากเครือ ซี.พี เป็นอาหารที่ปรุงใหม่ สุก สะอาด ถูกสุขอนามัย มีเมนูอาหารที่หลากหลายในแต่ละวัน โดยให้เครือข่ายจิตอาสา มูลนิธิ และหน่วยงานพันธมิตร มารับข้าวกล่องไปกระจายสู่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อีกครั้ง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องในชุมชนต่างๆ ตลอดจนธุรกิจร้านอาหารรายย่อย ให้สามารถฝ่าวิกฤตโควิดไปได้ ลดการแออัด และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ โดยที่ประชาชนไม่ต้องมาต่อคิวรับข้าวกล่องด้วยตัวเอง
นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า “สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงมียอดผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการดำรงชีพของประชาชน รวมถึงผู้ประกอบการ ร้านอาหารรายย่อย โดยเฉพาะในเขตชุมชนดินแดง ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ มีประชากรอาศัยหนาแน่นกว่า 48,000 คน ตอนนี้เราต้องแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด
เพราะผู้ป่วยจำนวนมากพักรักษาตัวที่บ้าน ไม่สามารถออกนอกได้ จำเป็นต้องมีอาหารทานอย่างเพียงพอ เพื่อไม่เกิดการแพร่เชื้อ ทางกระทรวงฯ รู้สึกยินดี และขอบคุณพันธมิตรทุกๆ หน่วยงาน ที่มาร่วมส่งมอบอาหาร และอุปกรณ์จำเป็นอย่างหน้ากากอนามัย ส่งตรงถึงคนในชุมชน ตลอดจนผู้ป่วย ความร่วมมือของคนไทยทุกภาคส่วน จะช่วยให้สังคมไทยสามารถเดินหน้าต่อไป ขอให้รักษาความมีน้ำใจของคนไทยไว้ เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเราจะรอดจากวิกฤตครั้งนี้ไปด้วย”
นายภาณุเดช เกิดมะลิ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร กล่าวว่า “มูลนิธิสืบนาคะเสถียร เป็นองค์กรที่ทำงานด้านการอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่า และเป็นหนึ่งในพันธมิตรโครงการฯ เราเล็งเห็นถึงความสำคัญของอาหาร เพราะเป็นปัจจุบันพื้นฐานในการมีชีวิตของทุกๆ คน มูลนิธิสืบฯ รู้สึกยินดี และขอร่วมเป็นสะพานบุญครั้งนี้ ทำหน้าที่อาสาเชื่อมต่อหน่วยงานระหว่างกัน ได้แก่ การเคหะแห่งชาติฯ และวัดพุทธปัญญา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดส่งมอบข้าวกล่องจาก 40 จุดภายใต้โครงการฯ เพื่อแบ่งปันความดี แบ่งปันความอิ่ม ส่งไปถึงมือของพี่น้องประชาชนทุกคน”
นายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร (ข้าวโพด) ผู้แทนเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า “ขอบคุณกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย เกษตรก้าวไกล เกษตรทำกิน มติชน และพันธมิตรทุกท่าน งานวันนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากพลังของเครือข่ายทุกภาคส่วน ที่ช่วยขับเคลื่อนโครงการ ไม่ว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวกสถานที่ตั้งจุดส่งมอบข้าวกล่อง การประสานงานโครงการ เจ้าหน้าที่กระจายข้าวกล่องไปยังชุมชน
กลุ่มจิตอาสา และสื่อมวลชนที่ช่วยประชาสัมพันธ์ข่าวสารโครงการฯ เพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การส่งมอบข้าวกล่อง-หน้ากากอนามัย ไปสู่มือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ผู้กักตัวที่บ้าน ให้พวกเขาได้มีอาหารที่ถูกสุขอนามัยรับประทาน และเครือเจริญโภคภัณฑ์ยังมีอีกหนึ่งโครงการ “ปันปลูก-ฟ้าทะลายโจร 100 ไร่ 100 วัน” ผลิตยาสมุนไพรไทยฟ้าทะลายโจร จำนวน 30 ล้านแคปซูล เพื่อแจกจ่ายฟรีให้กับประชาชนอีกด้วย และขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวไทยทุกคน ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 นี้ไปด้วยกัน”
อนึ่ง รายชื่อจุดแจกอาหาร 40 จุด ที่ตัวแทนชุมชนจะมารับมอบและนำไปแจกจ่ายคนในชุมชนโดยที่ไม่ต้องมาต่อคิวรับข้าวกล่องด้วยตัวเอง ประกอบด้วย 1. มูลนิธิดวงประทีป คลองเตย 2. คลองเตยดีจัง 3. ชุมชนหลังวัดดวงแข หัวลำโพง 4. ชุมชนหลังวัดสายไหม ลำลูกกา ปทุมธานี 5. ชุมชนหลังวัดไผ่เหลือง นนทบุรี 6. ชุมชนแดงบุหงา แถวเพชรบุรี
7. ชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน 8. ชุมชนบ้านครัวเหนือ 9. ชุมชนคลองส้มป่อย ทางขึ้นทางด่วนยมราช 10. ชุมชนพื้นที่เขตบางซี่อ 11. ชุมชนดอนเมือง 12. ชุมชนสวนอ้อย สามเสน 13. ชุมชนลาดพร้าว (วัดลาดพร้าว) 14. ชุมชนวัดสิงห์ เขตจอมทอง 15. ชุมชนวัดเพลง ราชพฤกษ์ 16. 7-11 วิภาวดี 64 (ปากซอย) 17. 7-11 สุโขทัย4 18. 7-11 รามอินทรา 93 19. สำนักงานเขตสวนหลวง 20. ผู้จัดการ ถ.พระอาทิตย์ 21.
สมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคฯ 22. 1 7-11 อาจณรงค์ไนท์บาซาร์ 22. 2 วัดสุทธิวราราม (Quota CPALL 600) 23. วัดเทวสุนทร/ศูนย์อาสาเราต้องรอด Up For Thai 24. พระราม 4* 25. รังสิต 26. ศรีนครินทร์* 27. หลักสี่* 28. ปทุมธานี* 29. พระราม 2 30. หนองจอก 31. บางปู* 32. พระราม1* 33. บางกะปิ* 34.
ศูนย์พักคอย รร.สุวรรณารามวิทยาคม สมัครเว็บจีคลับ บางกอกน้อย 35. รพ.สนามแสงแห่งใจ เขตบางนา (drop1) อาคารสำนักงานเนชั่น เขตบางนา (drop2) 36. สำนักงานเขตมีนบุรี (drop1) สำนักงานสื่อ Top News วัชรพล (drop2) 37. สำนักงานเขตประเวศ 38. ชุมชนวัดพุทธปัญญา จ.นนทบุรี 39. ชุมชนเคหะแฟลตดินแดง (ลานกีฬาระหว่างแฟลต51-53) 40. สำนักงานเขต หนองจอก