กล่าวว่าการทำอาชีพเกษตรถือว่าเป็นอาชีพที่ดีที่สุด เวลานี้ทางหน่วยงานราชการให้การส่งเสริมอย่างเต็มที่ และพร้อมที่จะเดินหน้าสู้วิกฤตพร้อมกับพี่น้องเกษตรกรไทย ส่วน นายสมชาย แซ่ตัน เกษตรกรเจ้าของไร่คุณชาย กล่าวว่า โครงการ “เกษตรก้าวไกล LIVE ฝ่าวิกฤตโควิดทั่วไทย” ที่เว็บไซต์ข่าว “เกษตรก้าวไกล” จัดขึ้นในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการทำงานของสื่อมวลชนที่ตรงกับสถานการณ์ เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ได้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง การที่เกษตรก้าวไกลได้ดำเนินการโครงการดังกล่าว
ในมุมมองแล้วเห็นว่าจะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ รวมถึงประชาชนทั่วไปที่กำลังให้ความสนใจและต้องการเข้ามาสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตด้วยอาชีพการเกษตร โดยเฉพาะทางไร่คุณชาย ซึ่งเน้นการทำสวนผลไม้ทั้งเงาะ ทุเรียน ส้มโอ ฝรั่ง กล้วยไข่ และอื่น ๆ ในลักษณะเกษตรผสมผสาน ซึ่งได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานเกษตรจังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น ซึ่งที่สวนพร้อมให้คำแนะนำแก่ผู้สนใจที่ต้องการพัฒนาการผลิตของตนเองให้มีคุณภาพตรงกับที่ตลาดต้องการ
ในพิธีเปิดโครงการครั้งนี้ ใช้สัญลักษณ์การตัดทุเรียนด้วยดาบ เพื่อรณรงค์รงค์ไม่ตัดทุเรียนอ่อน ตามนโยบายของกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ และยังตัดผลไม้อีก 5 ชนิด ที่อยู่ในสวนเดียวกัน รวมเป็น 6 ชนิด ซึ่งสอดคล้องกับโอกาสครบบรอบ 6 ปี เว็บไซต์เกษตรก้าวไกล และสื่อออนไลน์ในเครือ โดยมีบุคคลที่เป็นตัวแทนในท้องถิ่นเป็นผู้ตัด เช่น นายอำเภอไทรโยคตัดเงาะ เป็นต้น
อนึ่ง ผู้ให้การสนับสนุนโครงการเกษตรก้าวไกลLIVEฝ่าวิกฤตโควิดทั่วไทย นอกจากหน่วยงานภาครัฐ กรมส่งเสริมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ยังมีหน่วยงานภาคเอกชน ประกอบด้วย บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท ฟอร์ด ประเทศไทย จำกัด บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด บริษัท เจียไต๋ จำกัด บริษัท ยารา(ประเทศไทย) จำกัด บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด (ศรแดง) บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค และบริษัท ซุปเปอร์เอส เซ็นเตอร์ จำกัด
เมื่อวานนี้ (19/6/64) ผม(ลุงพร)และทีมงานเกษตรก้าวไกลได้พบกับ คุณชาตรี โสวรรณตระกูล CEO เจ้าของสวนละอองฟ้า-The Demeter Garden สวนอนุรักษ์พันธุ์ทุเรียน(ปลูกทุเรียน) รวม 53 สายพันธุ์ บนพื้นที่ประมาณ 30 ไร่ ณ ตำบลเขาพระ อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก โทร.0897491735
ความตั้งใจเดิมที่ไปนั้นกะว่าจะค้นหาคำตอบเรื่องหลักการปลูกทุเรียนแบบสวนป่า ว่าเลือกสายพันธุ์อย่างไร ปลูกพันธุ์ไหนก่อนหลังอย่างไร จัดการอย่างไรให้ทุเรียนที่ปลูกได้ผลผลิตดี และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจถ้านับเป็นรายได้คุ้มแค่ไหนอย่างไร ความคุ้มที่ว่ามีดัชนีชี้วัดนอกจากเรื่องรายได้แล้ว เรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดีขึ้นอย่างไร
หลายคำถามที่ตั้งใจจะไปหาคำตอบ ยังไม่บรรลุผลครับ หลายท่านที่ติดตามเกษตรก้าวไกลอาจจะผิดหวังเล็กๆ เนื่องจากผมได้ประชาสัมพันธ์ว่าจะ LIVE สดจากสวน แต่สวนของพี่ชาตรีเป็นสวนป่าระบบสัญญานโทรศัพท์ไม่ค่อยเป็นใจ(ไม่เสถียร) ก็เลยพลาด จึงแก้ไขเป็นการถ่ายคลิปก็จัดแจงถ่ายไปพอสมควรแต่ดันมีปัญหาเรื่องระบบเสียงไม่สมบูรณ์ในบางช่วงบางตอน จึงนำเรื่องมาปะติดปะต่อค่อนข้างยากอยู่ เช้าวันนี้จึงโทร.คุยกับพี่ชาตรีบอกไปว่าจะหาโอกาสไปเยือนใหม่อีกสักครั้ง
ต้องขอบอกเลยว่าสวนของพี่ชาตรี เป็นสุดยอด “สวนป่าทุเรียน” ที่เริ่มหาได้ยากในประเทศไทยนี้ที่ยังคงอนุรักษ์การปลูกทุเรียนแบบดั้งเดิม “สวนเทวดาเลี้ยง” ซึ่งสวนแบบนี้ที่ภาคใต้จะเรียกสวนสมรม ก็อาจจะหาชมได้บ้าง แต่นครนายกที่อยู่ใกล้ๆกรุงเทพฯ เข้าใจว่าไม่น่าจะมีครับ (หรือมีก็บอกกกันมาครับ)
สวนละอองฟ้าของคุณพี่ชาตรีจึงน่าจะตอบโจทย์ในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงเกษตรกรสำหรับคนเมืองได้อีกแห่งหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ ยุคที่โควิด-19 ผลักให้ทุกคนไปอยู่มุมเขียวที่เรียกว่าเศรษฐกิจสีเขียว เพราะว่าเป็นสวนที่คำนึงถึงธรรมชาติละสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ตรงตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติแบบไม่ต้องเสแสร้งแต่นี่คือของจริงที่เป็นวิถีชีวิตของเกษตรกรไทยแท้ๆ
มีเรื่องเล่าให้ฟังคือระหว่างที่นั่งคุยกับคุณพี่ชาตรีนั้น ผมเห็นนกกางเขนดง(นกบินหลาดง) คู่หนึ่งที่เป็นตัวผู้ตัวเมียกำลังบินจับคู่หยอกล้อกันต่อหน้าต่อตา(นกชนิดนี้เคยมีมากในภาคใต้แต่ปัจจุบันหาได้ยากยิ่งแล้ว) นี่น่าจะส่งผลมาจากการทำสวนเกษตรแบบผสมผสานแบบที่เรียกว่าอิงธรรมชาติ และคุณพี่ชาตรียังบอกอีกว่าปีนี้ทุเรียนที่สวนติดผลถึง 42 สายพันธุ์ มากกว่าทุกปีที่ผ่านมา (ซึ่งก็น่าจะส่งผลมาจากสภาพแวดล้อมของสวน) พันธุ์หลักๆก็เช่น หมอนทอง ชะนี ก้านยาว ฯลฯ แต่ทุเรียนส่วนหนึ่งก็ต้องปลูกเผื่อกระรอก เพราะต้องการให้สัตว์ทุกชนิดอยู่ร่วมกันกับสวนทุเรียนรวมทั้งสวนผลไม้ชนิดอื่นๆที่ปลูกสร้างขึ้น
เส้นทางของสวนละอองฟ้าภายใต้การกำกับดูแลของพี่ชาตรี “ศิลปินสวนป่าทุเรียน” (จบช่างศิลป์ภาพที่เห็นวาดติดไว้ที่บ้านไม้ไผ่นั่นคือฝีมือพี่เขาล่ะ) จึงน่าจะเป็นอีกแนวทางการทำเกษตรที่เป็นอัตลักษณ์ ซึ่งก็คือการทำสวนแบบดั้งเดิม อาจไม่ตอบโจทย์เศรษฐกิจเชิงรายได้ แบบกะทันหันเร่งด่วน แต่ตอบโจทย์เรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก และสิ่งที่จะตามในอนาคตอันใกล้นี้คือเรื่องท่องเที่ยวเชิงการเกษตร ยังไงก็ช่วยกันสนับสนุนแนวทางนี้ให้อยู่รอดอยู่ได้นะครับเพื่อนๆ
ขอบคุณฟอร์ดประเทศไทย พาหนะลุยตามหาสุดยอดทุเรียนไทย..เราจะเดินทางไปที่สวนไหนตอบโจทย์(สุดยอด)ในเรื่องอะไร โปรดติดตามนะครับ
เกษตรกรภาคตะวันออกสุดยอด เปิดตลาดออนไลน์ขายตรงจากสวนถึงมือผู้ซื้อ เน้นคุณภาพ บรรจุภัณฑ์แข็งแรง ดูแลสวนผลผลิตอย่างดี ทำมา 5 ปี ฉลุยขายได้หมดตลอด คาดปีต่อไปมีเกษตรกรขายตรงเพิ่มขึ้น สสก.3 จ.ระยอง ชื่นชมพร้อมสนับสนุนเต็มพิกัด
นายปิยะสมัครพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง เปิดเผยว่า พื้นที่ภาคตะวันออกถือว่าเป็นแหล่งผลิตผลไม้ที่สำคัญของประเทศ ในแต่ละปีมีผลไม้ให้ผลผลิตเกือบ 1,000,000 ตัน จาก 4 ชนิด ประกอบด้วย ทุเรียน เงาะ มังคุด และลองกอง โดยในช่วงเดือนเมษายน – กรกฎาคม จะมีผลผลิตออกมามาก ขณะเดียวกันก็มีลำไยเริ่มออกสู่ตลาด ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ภาคตะวันออกมีการปลูกลำไยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดสระแก้ว ผลผลิตส่งออกขายต่างประเทศเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
“ในแต่ละปีการบริหารจัดการผลไม้ของภาคตะวันออกจะมีองค์ประกอบการกระจายผลผลิต ออกสู่ตลาดทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ การส่งออกต่างประเทศจะเป็น ทุเรียน มังคุด และลำไย ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ส่วนที่เหลือจะส่งขายภายในประเทศ ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่ส่งร้านริมทาง ห้างสรรพสินค้า รถเร่ และทางออนไลน์ และเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ไม่สามารถดำเนินกิจการได้ตามปกติ จนหลายๆ ธุรกิจต้องหันมาพึ่งพาช่องทาง “ออนไลน์” มากขึ้น”
“ซึ่งปัจจุบันมีโซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์ม และอีคอมเมิร์ซต่างๆ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงผู้ผลิตและผู้บริโภคให้มาเจอกัน ได้แบบการเว้นระยะห่างทางสังคม ( Social Distancing )มีการดำเนินการในหลากหลายวิธี นับตั้งแต่ผ่านช่องทางที่เปิดขึ้นมาภายใต้การสนับสนุนของหน่วยงานต่างๆ เช่นเว็บไซต์ Thailandpostmart ของไปรษณีย์ไทย เว็บไซต์ ThehubThailand แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าจากผู้ประกอบการไทย ที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สถาบันส่งเสริมสินค้าเกษตรนวัตกรรม หรือ APi กรมการค้าต่างประเทศ ที่สนับสนุนให้เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยร่วมมือกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ รวมไปถึงตลาดค้าส่ง เช่น ตลาดไทย และ อตก.และ แพลตฟอร์มของกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในชื่อเว็บไซต์ ตลาดเกษตรกรออนไลน์.com เป็นต้น” นายปิยะ กล่าว
อย่างไรก็ตามจากการระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของการตลาด พบว่าในพื้นที่เขตภาคตะวันออกในปี 2563 ที่ผ่านมามีการขายผลไม้ผ่านระบบออนไลน์มากถึง 1.5 พันตัน และในปี 2564 นี้นอกจากจะขายผ่านระบบไปรษณีย์แล้ว ยังมีภาคเอกชนหลายรายที่มีระบบขายตรงและการขายออนไลน์เข้ามาร่วมโครงการกับแพลตฟอร์ม ของกรมส่งเสริมการเกษตร และ สสก.3 จ.ระยอง ทำให้มียอดการขายเพิ่มขึ้นกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ การขายในระบบนี้มีข้อดีหลายประการ หนึ่งนั้นก็คือผู้ซื้อไม่ต้องเดินทางสามารถเลือกสินค้าได้ด้วยตนเอง สินค้ามีการประกันคุณภาพ และผู้ผลิตมีการดูแลระบบการปลูกการเก็บเกี่ยว และการจัดส่งเป็นอย่างดี คาดว่าในปี 2565 การขายผ่านระบบออนไลน์น่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น
“ที่น่าสนใจก็คือช่องทางธุรกิจแบบต่อเนื่องที่ได้ดำเนินการเองโดยเกษตรกรผู้ผลิต คือ การขายแบบออนไลน์จากแหล่งผลิตโดยตรง ซึ่งในพื้นที่ภาคตะวันออกมีเกษตรกรเจ้าของสวนเปิดช่องทางออนไลน์จำหน่ายผลไม้จากสวนของตนเองต่อผู้บริโภคโดยตรงจำนวนไม่น้อย และทุกสวนต่างประสบความสำเร็จที่มีแนวโน้มว่าในฤดูการผลิตปีต่อ ๆ ไป ช่องทางนี้น่าจะได้รับการขยายผลสู่เกษตรกรรายอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น และทาง สสก.3 จ.ระยอง จะสนับสนุนด้านข้อมูลและจัดหาผู้รู้ด้านการขายออนไลน์มาเสริมความรู้ให้เกษตรกรต่อไป เพราะสามารถทำให้เกิดการลดต้นทุนในขั้นตอนการตลาดทำให้เกษตรกรมีกำไรเพิ่มมากขึ้น” นายปิยะ กล่าว
ทางด้าน นางสาวสุรีย์ ธัญญคง เกษตรกรอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี หนึ่งในผู้เปิดช่องทางการขายผลไม้จากสวนของตนเองผ่านช่องทางออนไลน์ เจ้าของเพจ เฟสบุ๊ค “มาจากสวน” เปิดเผยว่า ได้ปลูกผลไม้ 4 ชนิด ประกอบด้วย ทุเรียน เงาะ มังคุด และลองกอง โดยทุเรียนผลผลิตส่งออกต่างประเทศทั้งหมด ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆ ขายภายในประเทศ โดยทำการตลาดด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ ส่วนใหญ่เป็นตลาดระดับบนและระดับกลาง
“ข้อดีของการขายผ่านระบบออนไลน์คือ ขายได้ราคาดีในขณะที่ผู้ซื้อ ซื้อในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดทั่วไป เพราะไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง และเจ้าของสวนมีการดูแลแปลงปลูกอย่างดีเพื่อให้ผลผลิตออกมามีคุณภาพตรงตามความต้องการของผู้บริโภค จะมีการคัดและเลือกเป็นอย่างดีก่อนส่งลูกค้า บรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่ดีและแข็งแรง เพื่อสะดวกและปลอดภัยในการขนส่งไม่ให้สินค้าเสียหายก่อนถึงมือผู้ซื้อ ที่สำคัญทำให้ผู้ซื้อได้รู้จักกับผู้ผลิตมีการติดตามสั่งซื้อผลไม้อย่างต่อเนื่องและทุกปี ปี 2564 เป็นปีที่ 5 ที่ได้จำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ผลไม้ขายได้หมดทุกปีไม่ตกค้างที่สวน ปัจจุบันเกษตรกรสวนผลไม้จังหวัดจันทบุรีหันมาขายผ่านระบบออนไลน์กันมากขึ้น” นางสาวสุรีย์ กล่าว
รศ.ดร.กนกพร นุ่มทอง อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รับ “รางวัลสุรินทราชา” ในฐานะนักแปลดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2564 นับเป็นบุคลากรมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อีกท่านที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ทั้งนี้ ชาวเกษตรท่านแรกที่ได้รับรางวัลนี้คือ ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร อดีตรองอธิการบดีและอดีตนายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้รับรางวัลนักแปลดีเด่นในปี พ.ศ.2550 นอกจากนี้ยังมีศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คือ ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี นายกสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้รับรางวัลนักแปลดีเด่นในปี พ.ศ.2557
“รางวัลสุรินทราชา” เป็นรางวัลเกียรติคุณที่สมาคมนักแปลและล่ามแห่งประเทศไทย ตั้งขึ้นเป็นอนุสรณ์แด่พระยาสุรินทราชา (นกยูง วิเศษกุล) หรือ “แม่วัน” ผู้แปลนวนิยายเรื่องความพยาบาท (Vendetta) เป็นรางวัล ที่มอบแด่นักแปลและล่าม ผู้มีผลงานดีเด่นเผยแพร่เป็นเวลานาน และสร้างคุณูปการแก่วงวรรณกรรม สังคม และประเทศชาติ มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 จนถึงปี พ.ศ.2564 เป็นปีที่ 15 ของการมอบรางวัลอันทรงคุณค่านี้
งานแปล รศ.ดร.กนกพร นุ่มทองมีผลงานเด่นด้านงานแปลภาษาจีนเป็นภาษาไทย ทั้งงานวรรณกรรม ประวัติศาสตร์และปรัชญา ผลงานเด่นได้แก่ เปาบุ้นจิ้นฉบับสมบูรณ์ (แปล 25 เรื่องจาก 100 เรื่อง), 100 ยอดหญิงแห่งประวัติศาสตร์จีน, 100 โสเภณีในประวัติศาสตร์จีน, 100 ขุนนางประเสริฐในประวัติศาสตร์จีน, 100 ทรชนในประวัติศาสตร์จีน, มูลเหตุสามก๊ก(สามก๊กอิ๋น) ฉบับแปลใหม่, จงยง (ความเหมาะสมที่แน่นอน), หลักฐานล้านนาในเอกสารโบราณจีน, เปิดม่านมังกร บทเรียนจากความล้มเหลว,พระสัทธรรมปุณฑรีกสูตร อวโลกิเตศวรสมันตมุขปริวรรต (แปลร่วมกับเกวลี เพชราทิพย์), ไภสัชยคุรุไวฑูรยประภาสยปูรวปณิธานสูตร (แปลร่วมกับเกวลี เพชราทิพย์) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผลงานแปลวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง “คุณปู่แว่นตาโต” ของชมัยภร บางคมบางจากภาษาไทยเป็นภาษาจีน
งานวิชาการ นอกจากงานแปลแล้ว รศ.ดร.กนกพร นุ่มทองยังมีงานวิจัย/บทความที่เกี่ยวกับการแปล ที่ตีพิมพ์ลงในวารสารต่าง ๆ เช่น “Translation, Politics and Literature: Propagation of ‘Romance of the Western Han’ in Thailand”, “การแปลวรรณกรรมจีนเรื่องไซฮั่นในสมัยรัชกาลที่ ๑”, “การศึกษาแนวทางการจดบันทึกในงานล่ามจีน-ไทย ไทย-จีนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวเลข”, “การเรียนการสอนวิชาการแปลภาษาจีนเป็นภาษาไทยและภาษาไทยเป็นภาษาจีนในระดับอุดมศึกษา”, “การศึกษาปัญหาและกลวิธีการแปลภาษาจากเอกสารประวัติศาสตร์ภาษาจีนเป็นภาษาไทย, “การแปลแบบดัดแปลงนิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่อง ‘ตั้งฮั่น’ ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์” รวมทั้งงานเขียนตำรา/หนังสือที่เกี่ยวกับการแปล เช่น การแปลภาษาไทยเป็นภาษาจีน, ทักษะการแปลภาษาจีนเป็นภาษาไทย, ภาษาจีนเพื่อการล่ามในธุรกิจ ตลอดจนงานบรรยายทางวิชาการให้กับหน่วยงานต่าง ๆ หลายหัวข้อ อาทิ “แนวทางการเรียนการสอนวิชาการแปลและการล่าม จีน-ไทย ไทย-จีน ในระดับอุดมศึกษา”, “กลวิธีการสอนวิชาล่ามภาษาจีน”, “แนวทางการจัดการเรียนการสอนวิชาล่าม จีน-ไทย ไทย-จีน ในระดับอุดมศึกษา”, “แนวทางการพัฒนาตนสู่ล่ามจีน-ไทย ไทย-จีน สำหรับผู้สนใจงานล่าม” เป็นต้น
รศ.ดร.กนกพร นุ่มทอง ยังเป็นบรรณาธิการภาษาจีนให้กับสำนักพิมพ์จีนและสำนักพิมพ์ไทย ตรวจสอบต้นฉบับงานแปลภาษาจีนเป็นภาษาไทยกว่า 70 เล่ม รวมถึงเป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพการแปลบทภาพยนตร์อีกจำนวนมาก
รศ.ดร. กนกพร นักแปลดีเด่น ผู้ทุ่มเทเวลาให้กับการแปลและการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการแปล กล่าวว่า โดยทั่วไปเมื่อคนนึกถึงงานแปล จะนึกถึงงานแปลวรรณกรรมเป็นหลัก เพราะเป็นสิ่งที่พบบ่อยและมีประโยชน์ในการช่วยให้เข้าใจวัฒนธรรม ความคิดอ่านของชาติอื่น เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดของบุคคลผู้อยู่ต่างวัฒนธรรม ซึ่งความเข้าใจอันดีต่อกันนี้จะส่งผลให้การติดต่อสื่อสารระหว่างกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นอกจากงานวรรณกรรมแล้ว ตลาดงานแปลยังกว้างขวางมาก งานแปลเฉพาะด้าน ตัวอย่างเช่น ประวัติศาสตร์ แพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ วนศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ มีผู้แปลอยู่น้อยมาก หากเราสามารถแปลงานวิชาการของต่างชาติเป็นไทย จะช่วยเปิดโลกวิชาการให้นักวิชาการบ้านเราได้กว้างขวางมาก นำไปสู่งานวิจัยที่มีคุณค่าในอนาคต และหากมีการแปลผลงานของนักวิชาการไทยเป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงให้แก่วงวิชาการบ้านเราได้มาก
สำหรับงานแปลควรเริ่มต้นจากจุดใดนั้น ขึ้นอยู่กับความสนใจของนักแปลและความต้องการของตลาด โดยทั่วไปนักแปลอาจมุ่งเน้นงานวรรณกรรม เพราะคนเรียนภาษาส่วนใหญ่จะเป็นคนสายศิลป์ ส่วนหนึ่งมีความชื่นชอบวรรณกรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่จากที่กล่าวมา จะเห็นว่าโลกของงานแปลไปได้กว้างมาก หากได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระดับชาติ คัดเลือกหนังสือดีที่ควรแปลในหลายๆ ด้าน จากภาษาไทยเป็นภาษาต่างประเทศ และภาษาต่างประเทศเป็นไทย จะเป็นการขยายพรมแดนความรู้ไปอย่างกว้างขวาง
อาชีพนักแปลสำคัญและสามารถช่วยพัฒนาประเทศได้มาก ยกตัวอย่าง คนที่ชำนาญศาสตร์เฉพาะทางบางอย่าง อาจไม่ต้องเก่งด้านภาษาต่างประเทศ แต่มีความสามารถในศาสตร์ของตน มีนักแปลที่เก่งภาษาต่างประเทศและเข้าใจศาสตร์นั้นพอสมควร ทำหน้าที่แปลตำราและงานวิชาการใหม่ๆ เป็นภาษาแม่ มีผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เฉพาะทางนั้นตรวจสอบความถูกต้อง ผลงานที่ออกมาจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความงอกงามในวิทยาการสาขานั้นและเปิดแนวทางวิจัยใหม่ได้มาก อาจารย์กล่าวทิ้งท้าย
สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ด้านวรรณคดีจีนโบราณ จากมหาวิทยาลัยนานกิง และปริญญาโทด้านวรรณคดีจีนโบราณจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ภาษาจีน) เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง รางวัลทุนภูมิพล ปัจจุบัน เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เกษตรกรเตรียมเฮ!! กรมวิชาการเกษตร แง้มพืชพันธุ์ดีปี 65 มะนาว ส้มโอ และมันเทศ นำร่องเตรียมขอรับรองพันธุ์พืชใหม่ นักวิจัยปลื้ม 3 พืชตอบโจทย์วิจัยครบ ให้ผลผลิตสูง ทนทานโรค ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี มีเอกลักษณ์เฉพาะพันธุ์โดดเด่น คาดผ่านพิจารณาเป็นพันธุ์แนะนำของกรมฯ พร้อมขยายผลงานวิจัยสู่แปลงเกษตรกรปีหน้า
นายอนันต์ อักษรศรี รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ในฐานะโฆษกกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า จากภารกิจที่ได้รับมอบหมายจาก นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ให้กำกับดูแลการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายของหน่วยงานในส่วนภูมิภาคที่รับผิดชอบ ซึ่งอธิบดีกรมวิชาการเกษตรมีนโยบายหลักต้องการให้หน่วยงานในพื้นที่ส่วนภูมิภาคนำผลงานวิจัยในทุกด้านของกรมวิชาการเกษตรขยายผลไปสู่เกษตรกรนำไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ซึ่งจากการลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้างานตามนโยบายดังกล่าวในเขตพื้นที่สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 จังหวัดพิษณุโลก ได้รับรายงานความก้าวหน้างานวิจัยและปรับปรุงพันธุ์พืชจำนวน 3 พืชได้แก่ มะนาว ส้มโอ และมันเทศ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งคาดว่าจะเสนอพันธุ์พืชทั้ง 3 พันธุ์ให้เป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตรได้ในปี 2565
มะนาว สายต้น 1-02-07- 2 และสายต้น1-07-01-4 ผ่านการปรับปรุงพันธุ์ โดย ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตร โดยนำมะนาวพันธุ์พิจิตร 1 ไปฉายรังสีแกมมา เพื่อให้มีเมล็ดน้อยลง เปลือกบางและยังคงทนทานต่อโรคแคงเกอร์เหมือนพันธุ์เดิม โดยได้คัดเลือกสายต้นมะนาวพันธุ์พิจิตร 1 ตามหลักเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ จำนวนเมล็ดน้อยกว่า 10 เมล็ดต่อผล เปลือกบาง ทนทานต่อโรคแคงเกอร์ ให้ผลผลิตและคุณภาพดี และปลูกเปรียบเทียบสายต้นมะนาวพิจิตร 1 ที่มีเมล็ดน้อยหรือไม่มีเมล็ด ที่ศูนย์วิจัยพัฒนาการเกษตรพิจิตร ปี 2562-2564 ปลูกทดสอบสายต้นมะนาวพิจิตร 1 ที่มีเมล็ดน้อยหรือไม่มีเมล็ด ณ ศูนย์วิจัยพัฒนาการเกษตรพิจิตร ศูนย์วิจัยพืชสวนสุโขทัย แปลงเกษตรกรจังหวัดพิจิตร กำแพงเพชร และเพชรบุรี โดยการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ในครั้งนี้เพื่อให้ได้มะนาวพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะเด่นทนทานต่อโรคแคงเกอร์ เมล็ดน้อยหรือไม่มีเมล็ด เปลือกบาง การเจริญเติบโตดี และให้ผลผลิตสูง
ส้มโอสายต้นท่าชัย 32 ได้จากการคัดเลือกสายต้นส้มโอในแปลงส้มโอเพาะเมล็ดจากเมล็ดส้มโอพันธุ์ทองดีที่ศูนย์วิจัยพืชสวนสุโขทัย โดยในปี 2543 – 2550 คัดเลือกสายต้นส้มโอที่ได้จาการเพาะเมล็ด 200 สายต้น ที่ศูนย์วิจัยพืชสวนสุโขทัย ปี 2551 -2555 เปรียบเทียบสายต้นส้มโอจากการเพาะเมล็ดที่ผ่านการคัดเลือก 10 สายต้น ร่วมกับพันธุ์ทองดีและพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง ที่ศูนย์วิจัยพืชสวนสุโขทัย และปี 2557 -2564 ทดสอบสายต้นส้มโอจากการเพาะเมล็ดที่ผ่านการคัดเลือกเปรียบเทียบ 4 สายต้นร่วมกับพันธุ์ทองดี ในแหล่งปลูก 3 สถานที่ ได้แก่ ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย แปลงเกษตรกรจังหวัดพิจิตรและชัยภูมิ โดยการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ในครั้งนี้เพื่อให้ได้ส้มโอพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะเด่น คือ กุ้งมีสีน้ำผึ้งอมชมพู รสหวาน ฉ่ำน้ำน้อย มีกลิ่นหอมเฉาะตัว ผลค่อนข้างใหญ่กว่าพันธุ์ทองดี และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในเขตภาคเหนือตอนล่างได้ดี
มันเทศสายต้น พจ.06-15 ได้จากการผสมเปิดของมันเทศพันธุ์ พจ.166-5 ที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตร โดยใช้พันธุ์มันเทศเนื้อสีขาวสำหรับเป็นพันธุ์พ่อแม่พันธุ์ ทำการเปรียบเทียบพันธุ์ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตร และทดสอบพันธุ์ภายศูนย์วิจัยฯ ของกรมวิชาการเกษตร ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตร ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาญจนบุรี และศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ และปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกร โดยมันเทศสายต้น พจ.06-15 ที่กำลังอยู่ระหว่างการวิจัยปรับปรุงพันธุ์ดังกล่าวนี้ มีลักษณะเด่นคือให้ผลผลิตเฉลี่ย 3,313 กิโลกรัมต่อไร่ เนื้อสีขาว รูปทรงหัวแบบยาวรี ปริมาณแป้งร้อยละ 25.0 คิดเป็นผลผลิตแป้ง 828 กิโลกรัมต่อไร่ และสามารถใช้ได้ทั้งบริโภคสดและอุตสาหกรรมแป้ง
“งานวิจัยและปรับปรุงพันธุ์พืชเป็นภารกิจหลักที่สำคัญของกรมวิชาการเกษตร เพื่อให้ได้พันธุ์พืชใหม่ที่ให้ผลผลิตสูง ทนทานต่อโรค แมลง และสภาพแวดล้อม ช่วยลดต้นทุนการผลิตและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเพิ่มขึ้น ซึ่งพันธุ์พืชทั้ง 3 พันธุ์ที่อยู่ระหว่างการวิจัย และทดสอบดังกล่าวคาดว่าจะได้รับการพิจารณาเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตรภายได้ภายในปี 2565 หลังจากนั้นจึงจะกระจายพันธุ์ไปสู่เกษตรกรในพื้นที่เพื่อนำปลูกเป็นทางเลือกสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นต่อไป” โฆษกกรมวิชาการเกษตร กล่าว
ในอดีต…วัด…เป็นศูนย์กลางของชาวบ้าน ทำหน้าที่เป็นโรงเรียน โรงพยาบาล จัดงานเทศกาลสืบสานวัฒนธรรม บางครั้งเป็นห้องประชุมของชาวบ้าน บางครั้งยังทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และอีกมากมาย เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนผ่าน มีองค์กรทางสังคมเข้ามาทำหน้าที่เหล่านี้อย่างเป็นระบบ บทบาทของวัดคงเหลือเพียงการเรียนรู้ด้านจิตวิญญาณและการขัดเกลากิเลส อันเป็นหัวใจหลักของพระพุทธศาสนาที่ยัง ไม่มีองค์กรใดจะสามารถเข้ามาแทนที่ได้ แต่กระนั้น ดูเหมือนว่าผู้คนจำนวนมากห่างไกลวัดออกไป ทุกที เราจึงเห็นว่าจากเดิมที่คนเดินเข้าวัด กลายเป็นวัดที่มีการปรับตัวเข้าหาผู้คนมากขึ้น
วัดตะโหมด อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง ยังคงเป็นศูนย์กลางของชาวบ้านที่มีผู้คนแวะเวียนเข้าวัด ด้วยเพราะพื้นที่นี้มักเป็นที่เริ่มต้นของความคิดสำคัญๆ ที่นำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชาวบ้านเสมอ…บริเวณเนินควนห่างจากวัดไม่มาก พระครูสุนทรกิจจานุโยค เจ้าอาวาสวัดตะโหมด ชี้ชวนให้ชมโรงเรือนขนาดเล็กที่มีเมล่อนเรียงเป็นแถวสวยงาม ท่านชวนคุยถึงสถานการณ์โควิดที่ทำให้การทำมาหากินยากลำบาก ชาวบ้านรายได้น้อยลง จึงคิดทดลองปลูกเมล่อนซึ่งเป็นพืชที่มีราคาสูง ใช้พื้นที่ไม่มากก็สามารถสร้างรายได้เพิ่มให้ครัวเรือนได้ โรงเรือนแห่งนี้ตั้งใจทำให้ชาวบ้านดูเป็นตัวอย่าง เป็นโรงเรือนระบบปิดอย่างง่ายที่ใช้ระบบเกษตรอินทรีย์ วิถีพอเพียง ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่มหาวิทยาลัยทักษิณ ถ่ายทอดให้กลุ่มเกษตรกรทำนาอินทรีย์จนได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ท่านเห็นว่าหากนำไปให้ชาวบ้านนอกเหนือจากกลุ่มทำนาก็จะเกิดประโยชน์ในวงกว้างยิ่งขึ้น
“วัดไม่ได้เน้นเชิงเศรษฐกิจ แต่ต้องการส่งเสริมระบบเกษตรอินทรีย์ตามนโยบายของจังหวัด คนในชุมชนจะได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัย เราทำแบบพอเพียงเน้นบริโภค ที่เหลือเป็นรายได้เสริม ที่ต้องทำให้ดูเพราะถ้าเขาไม่เห็นความสำเร็จเขาจะไม่กล้า เมื่อชาวบ้านเห็นว่าวัดก็ยังปลูกได้ อาศัยพระลูกวัดช่วยกันดูแล จนเป็นผลสำเร็จอย่างที่เห็น ชาวบ้านจะได้มั่นใจ โรงเรือนนี้ได้พัฒนาชุมชนมาช่วย ใช้ทุนไม่มาก แต่หากชาวบ้านไม่มีทุน ขอให้คิดจะทำ วัดยินดีสนับสนุน จะให้ปลูกในพื้นที่แปลงรวมที่จัดให้” พระครูสุนทรกิจจานุโยคกล่าว
สำหรับผู้ที่สนใจปลูกเมล่อน ทางวัดแนะนำว่าหลังจากเพาะเมล็ดประมาณ 15 วันเมื่อเริ่มมีดอกต้องผสมเกสร ถ้าเลยเวลาไปก็อาจไม่ติดผล วัดตะโหมดใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่สถาบันปฏิบัติการชุมชนเพื่อการศึกษาแบบบูรณาการ มหาวิทยาลัยทักษิณพัฒนาขึ้น และได้รับคำแนะนำเรื่องโรคและแมลง และการจัดการในแปลง การปลูกในโรงเรือนทำให้ปลูกเมล่อนได้ตลอดทั้งปี ไม่ต้องกังวลเรื่องฝนฟ้า อากาศ และยังช่วยลดการรบกวนของแมลงศัตรูพืช แต่ถึงอย่างไรเมล่อนก็เป็นพืชที่ต้องอาศัยการเอาใจใส่และดูแลเป็นพิเศษ ที่วัดปลูกก็ต้องคอยระวังโรคราน้ำค้าง และโรคเหี่ยวในเมล่อน ใช้เวลาตั้งแต่เพาะเมล็ดประมาณ 75-80 วันก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ทุกวันนี้เริ่มมีเกษตรกรที่สนใจเข้ามาถามไถ่ ขอเรียนรู้วิธีการปลูก วัดตะโหมดยินดีที่ได้ทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน เสริมสร้างปัญญาให้แก่ชาวบ้าน เป็นข้อพิสูจน์ว่าวัดซึ่งแหล่งถ่ายทอดความรู้และพัฒนาคนมาตั้งแต่ยุคอดีตนั้น สามารถปรับบทบาทให้ตอบสนองการใช้ชีวิตของผู้คน และไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปอย่างไร วัดก็คงยังเป็นที่พึ่งของชุมชนได้เสมอ
“สถาบันปฏิบัติการชุมชนเพื่อการศึกษาแบบบูรณาการ มหาวิทยาลัยทักษิณ ต้องขอบคุณวัดตะโหมด และชาวชุมชนตะโหมด ที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนสามารถพึ่งพิงตนเองได้มากขึ้น ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ชุมชนตะโหมด คือ ห้องเรียนที่มีชีวิต ซึ่งนิสิตมหาวิทยาลัยทักษิณได้มีโอกาสไปเรียนรู้รุ่นแล้วรุ่นเล่า นิสิตได้โอกาสก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปเรียนรู้กับครูภูมิปัญญาชุมชน ได้เรียนรู้จากการลงพื้นที่เรียนรู้จริง องค์ความรู้ที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชนกับมหาวิทยาลัย ทำให้มหาวิทยาลัยทักษิณ ตระหนักว่าความมุ่งมั่นที่จะทำตามพันธกิจ “มหาวิทยาลัยเพื่อสังคม” นั้นเราได้เดินมาถูกทางแล้ว และเราต้องทำให้มากยิ่งขึ้นไปอีก” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พรไทย ศิริสาธิตกิจ รักษาแทนผู้อำนวยการ สถาบันปฏิบัติการชุมชนเพื่อการศึกษาแบบบูรณาการ กล่าว
กรมประมง…ออกประกาศฯคุมเข้ม !!! ชนิดพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นที่ขึ้นบัญชีเพิ่มอีกจำนวน 13 ชนิดหวังตัดวงจรการแพร่พันธุ์และคุ้มครองพันธุ์สัตว์น้ำพื้นถิ่นพร้อมป้องกันผลกระทบต่อระบบนิเวศแหล่งน้ำของไทยไม่ให้เกิดความเสียหาย
นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่าปัจจุบันสถานการณ์การแพร่พันธุ์ ของสัตว์น้ำต่างถิ่น หรือเอเลียนสปีชีส์ ยังคงเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศแหล่งน้ำของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากกรณีปลาหมอสีคางดำที่หลุดรอดเข้าบ่อเลี้ยงกุ้งของเกษตรกรเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำพื้นถิ่นเป็นอย่างมากซึ่งครั้งนั้นกรมประมงได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยการออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่อง กำหนดชนิดสัตว์น้ำที่ห้ามนำเข้า ส่งออก นำผ่าน
หรือเพาะเลี้ยงพ.ศ.2561 สำหรับสัตว์น้ำ 3 ชนิด ได้แก่ ปลาหมอสีคางดำ ปลาหมอมายัน และปลาหมอบัตเตอร์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2561 อีกทั้ง ยังได้มีมาตรการจับสัตว์น้ำเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ด้วยการทำปุ๋ยหมักชีวภาพหรือการฝังกลบ หลังจากนั้นกรมประมงได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการป้องกันการรุกรานของสัตว์น้ำต่างถิ่นในชนิดพันธุ์อื่นๆ และได้มีการประชุมเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การเพาะเลี้ยงในประเทศ การรุกราน ที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกร
ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและผู้ประกอบการประกอบกับการพิจารณาสัตว์น้ำในทะเบียนชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ควรป้องกันควบคุมและกำจัดของประเทศไทยตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 (สำนักงานนโยบายและแผนงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)โดยพิจารณาควบคู่กับทะเบียนชนิดพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นที่รุกราน 100 อันดับโลก (GISD; Global Invasive Species Database,IUCN) จึงเห็นควรที่จะเพิ่มชนิดพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นที่ขึ้นบัญชีห้ามเพาะเลี้ยงเพื่อให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ล่าสุดกรมประมงจึงได้อาศัยความตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกำหนดการประมงพ.ศ. 2560 ออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดชนิดสัตว์น้ำที่ห้ามเพาะเลี้ยงในราชอาณาจักร พ.ศ. 2564 ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2564ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันทึ่ 16 สิงหาคม 2564 นี้เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองพันธุ์สัตว์น้ำพื้นถิ่นหายาก หรือป้องกันอันตรายมิให้เกิดแก่สัตว์น้ำและระบบนิเวศ ซึ่งประกอบสัตว์น้ำด้วย 13 ชนิดได้แก่
ทั้งนี้ ประกาศฉบับดังกล่าวฯ มีแนวทางการปฏิบัติที่สำคัญดังนี้
กรณีที่เกษตรกรที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกลุ่มเหล่านี้ ต้องดำเนินการขอใบอนุญาตตามประกาศกรมประมง ภายใน 30 วันหลังจากประกาศฯ มีผลบังคับใช้และเมื่อไม่ต้องการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต่างถิ่นกลุ่มดังกล่าวแล้วให้รีบนำสัตว์น้ำส่งมอบให้สำนักงานประมงจังหวัด หรือ หน่วยงานกรมประมงอื่นๆในพื้นที่โดยด่วน
กรณีที่ประชาชนทำการประมงแล้วได้สัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิดนี้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ประชาชนสามารถนำไปบริโภคหรือจำหน่ายได้ แต่ต้องทำให้สัตว์น้ำตายก่อนนำไปจำหน่าย
กรณีที่สัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิดนี้จากธรรมชาติได้หลุดรอดเข้าในบ่อเพาะเลี้ยงของเกษตรกรโดย
ไม่เจตนาเกษตรกรสามารถนำไปบริโภคหรือจำหน่ายได้ แต่ต้องทำให้ปลาตายก่อนนำไปจำหน่าย
กรณีส่วนราชการ สถาบันการศึกษา หรือกรณีจำเป็นอื่นใดที่ต้องการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิดไว้เพื่อศึกษาวิจัยและประโยชน์ทางราชการให้แจ้งขออนุญาตกรมประมงก่อน
ห้ามผู้ใดปล่อยสัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิด ลงในแหล่งน้ำธรรมชาติโดยเด็ดขาด เนื่องจากมีความผิดตามมาตรา 144 แห่ง พรก.การประมง 2558
บทลงโทษหากพบผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 64 หรือมาตรา 65 วรรคสอง ต้องระวางโทษตามมาตรา 144 จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง นำสัตว์น้ำไปปล่อยในที่จับสัตว์น้ำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
รองอธิบดีกรมประมง กล่าวในตอนท้ายว่า การออกประกาศฉบับดังกล่าวโดยห้ามทำการเพาะเลี้ยง
สัตว์น้ำทั้ง 13 สายพันธุ์นี้ ถือเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยลดปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นที่หลุดรอดเข้ามาแพร่พันธุ์และสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรไทย ดังนั้นจึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน หากท่านเลี้ยงสัตว์น้ำต่างถิ่น (สัตว์น้ำจากต่างประเทศ) และไม่ต้องการที่จะเลี้ยงอีกต่อไปแล้ว อย่านำไปปล่อยลงในแหล่งน้ำสาธารณะ ขอให้ท่านนำสัตว์น้ำเหล่านั้นมามอบให้กับทางกรมประมง หรือสำนักงานประมงจังหวัดในพื้นที่ใกล้บ้านท่าน ให้รับไปดูแล
เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์น้ำต่างถิ่นเกิดการหลุดรอดลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ อันจะสร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศแหล่งน้ำของประเทศในระยะยาว
นายสมพร เหรียญรุ่งเรือง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี เปิดเผยกับ “เกษตรก้าวไกล” ในโครงการเกษตรก้าวไกลLIVEฝ่าวิกฤตโควิดทั่วไทย ว่า ทางศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี ได้รับข้อมูลจากผู้ประกอบการรับซื้อทุเรียนหรือที่เรียกว่าล้ง ด้วยมีความประสงค์ต้องการรับซื้อและรวบรวมทุเรียนสายพันธุ์จันทบุรี เพื่อส่งออกไปยังประเทศจีน
โดยสายพันธุ์ที่มีความต้องการมาก เว็บเล่นพนันออนไลน์ ประกอบด้วย พันธุ์จันทบุรี 1 จันทบุรี 4 และจันทบุรี 10 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรีได้ดำเนินการปรับปรุงพัฒนาสายพันธุ์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 โดยเป็นการนำสายพันธุ์พื้นเมืองจากแปลงรวบรวมพันธุ์ทุเรียนของศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี ที่มีมากกว่า 600 สายพันธุ์มาพัฒนาจนได้ทุเรียนพันธุ์ลูกผสมคุณภาพดี ถึง 10 สายพันธุ์ และตั้งชื่อว่า จันทบุรี 1-10